บันทึกนี้ขอนำเอา "ทฤษฎีภาวะผู้นำ" ที่นิสิตที่เรียนวิชานี้ควรรู้จำเพื่อจะได้รู้จักและนำไปใช้ได้ในการทำโครงการด้วยกันต่อไป
- ภาวะผู้นำที่ท่านบรรยายในการเรียนการสอนวันนี้ มีวัตถุประสงค์ให้ได้
- เรียนรู้จากทฤษฎี
- เรียนรู้จากผู้ใช้ทฤษฎี หรือเจ้าของทฤษฎี โดยวิเคราะห์ชีวประวัติหรือผลงาน
- แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ลป.ร.ร.) และนำเสนออภิปรายกัน
- ท่านเสนอสมการของภาวะผู้นำคือ Leadership = Leader + Leading คือ ภาวะผู้นำ = ตัวผู้นำ + อาการนำ
- ภาวะผู้นำ คือ พฤติกรรมการนำของ "ตัวผู้นำ"
- ผู้นำคือ ตัวตน ตัวตนของคนที่เป็นผู้นำ "ผู้" คือประธานของการกระทำ
- หากมีเฉพาะ "ตัวผู้นำ" แต่ไม่ได้แสดงอาการแห่งการนำ หรือพฤติกรรมการนำ ก็ถือว่า ไม่มีภาวะผู้นำในขณะนั้น
- หากมีแต่ "อาการนำ" มีแต่ "พฤติกรรมการนำ" แต่ไม่รู้ว่า ใครคือ "ผู้นำ" ก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นภาวะผู้นำ
- ดังนั้น การศึกษาต่อไปนี้จึงเป็นการศึกษาคำสองคำคือ "ผู้นำ" และ "่อาการนำ" นั่นเอง
- โดยจะเริ่มตั้งแต่ ความหมายของผู้นำ เป็นเบื้องต้น
- ทฤษฎีภาวะผู้นำต่างๆ ได้แก่
- ผู้นำตามวิวัฒนาการ
- ผู้นำตามสถานการณ์
- ผู้นำตามสถานการณ์ของฟีดเลอร์ (Fiedler Countingency Theory)
- ผู้นำตามสถานการณ์ของเฮอร์เซย์และบลานชาร์ด (Hersey & Blanchard 's Situational Theory)
- ผู้นำไปสู่เป้าหมายของ House & Mitchell (Path- Goal Theory)
- ผู้นำแบบมีส่วนร่วมของ Vroom and Jago
- การพัฒนาภาวะผู้นำ
- วิธีการพัฒนาภาวะผู้นำ
๑) ผู้นำ
- Leader คือ ผู้นำหมู่คณะให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความปรารถนาดี ด้วยความเต็มใจ มีศรัทธาความเชื่อถือ ซึ่งแตกต่างกับการบังคับบัญชา
- ความแตกต่างของผู้นำจากบุคคลทั่วไป ได้แก่
- ผู้นำจะมีความพยายาม (Drive) ... ตอนนี้กระแสเรื่องนี้คือ GRIT
- ผู้นำจะมีความปรารถนาที่จะนำ (Desire to Lead)
- ผู้นำจะมีความซื่อสัตย์และมั่นคง (Honest and Integrity)
- ผู้นำจะมั่นใจในตนเอง (Self-confidence)
- ผู้นำนั้นฉลาด (Intelligence)
- มีความรู้เกี่ยวกับงานนั้นๆ (Job-relevant knowledge)
- ผู้นำโดยทั่วไป อาจแบ่งได้เป็น ๔ อย่าง ได้แก่
- ผู้นำแบบเผด็จการ
- ผู้นำแบบมีส่วนร่วม
- ผู้นำแบบประชาธิปไตย
- ผู้นำแบบเสรีนิยม
- แสดงว่าผู้นำมีได้หลากหลายแบบ ตั้งแต่ผู้นำเป็นศูนย์กลางของทั้งหมด ยึดเอาความต้องการของตนเองเป็นสำคัญ ไปถึงผู้นำแบบเสรีนิยม ที่ปล่อยให้สมาชิกของกลุ่มตัดสินใจทุกอย่าง
ผมนึกถึงผู้นำ ๙ แบบ ที่ รศ.ดร.พชรวิทย์ จันทร์ศิริสิร ที่เคยถอดบทเรียนตอนท่านมาบรรยายครั้งก่อนโน้น (อ่านได้ที่นี่)
๒) ภาวะผู้นำ
- Griffin บอกว่า ภาวะผู้นำ หมายถึง ความสามารถในการใช้อิทธิพลต่อคนอื่น
- Gibson และทีมบอกว่า ภาวะผู้นำ หมายถึง ความพยายามที่จะใช้อิทธิพลเพื่อจูงใจบุคคล เพื่อทำให้เกิดการบรรลุตามเป้าหมาย
- Certo บอกว่า ภาวะผู้นำ หมายถึง กระบวนการในการควบคุมคนอื่น เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้
- Robbins บอกว่า ภาวะผู้นำ หมายถึง ความสามารถที่มีอิทธิพลต่อกลุ่ม เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
ผมเคยถอดบทเรียนเรื่อง ความหมายและลักษณะของภาวะผู้นำจากหนังสือของ รศ.ดร.พชรวิทย์ จันทร์ศิริสิร ไว้ที่นี่ ... ที่น่าสนใจคือ ชื่อของเจ้าของทฤษฎีต่างๆ ไม่ค่อยซ้ำกัน ... ยิ่งยืนยันว่า แล้วแต่ใครจะมองจะเขียนจริงๆ
๓) ทฤษฎีภาวะผู้นำ
๓.๑) ทฤษฎีภาวะผู้นำตามวิวัฒนการ
- แบ่งออกเป็น ๔ ทฤษฎี ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านคุณลักษณะ ด้านพฤติกรรม ด้านสถานการณ์ และด้านบูรณาการ
๓.๑.๑) ทฤษฎีเชิงคุณลักษณะ
- คือเรียนรู้ผู้นำจากการ "ดู" ด้านคุณลักษณะ
- ดูคุณลักษณะทางร่างกาย เช่น อายุ รูปร่าง ส่วนสูง หรือน้ำหนัก ฯลฯ เมื่อพิจารณาจากผู้นำต่างๆ ที่เคยมีมา จะพบว่า ลักษณะเหล่านี้ไม่ใช่ตัวชี้วัดของผู้นำ
- ดูภูมิหลังทางสังคม เช่น ครอบครัว การศึกษา สถานภาพทางสังคม หรือความคล่องตัว ... เหล่านี้ก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดผู้นำโดยเด็ดขาด
- ดูสติปัญญา ความสามารถ ดุลยพินิจ ความรู้ ความเด็ดขาด การพูดคล่องแคล่ว ... ข้อนี้ต่างหากที่เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของผู้นำ
- ดูบุคลิกภาพ เช่น ความกระตือรือร้น ความเป็นตัวของตัวเอง ความสนใจ ความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ
- ดูคุณลักษณะทางงาน เช่น การต้องการความสำเร็จ ความรับผิดชอบ การริเริ่ม ความเพียร ความใจกล้า การมุ่งงาน ฯลฯ
- ดูคุณลักษณะทางสังคม เช่น ดูความนิยม ความดึงดู ความร่วมมือ ความมีเกียรติ ความมีไหวพริบ การชอบสังคม เป็นต้น
- วิธี "ดู" อาจดูได้ ๒ แบบ คือ
- ดูทั้ง ๖ ด้านนั้น เปรียบเทียบกันระหว่าง คนที่เป็นผู้นำ และ คนที่ไม่ได้เป็นผู้นำ
- ดูทั้ง ๖ ด้านนั้น เปรียบเทียบกันระหว่าง ผู้นำที่ประสบผลสำเร็จ และผู้นำที่ไม่ประสบผลสำเร็จ
- แต่การดูด้วยทฤษฎีนี้ มีผู้แย้งว่า การ "ดู" คุณลัษณะนั้น ไม่สามารถหาคุณลักษณะที่ดีที่สุดที่จะนำไปใช้ให้เหมาะสมกับททุกสถานการณ์ได้
๓.๑.๒) ทฤษฎีเชิงพฤติกรรม
- ขอนำเสนอ ๓ กรณี ได้แก่ การศึกษาของมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท (Ohio State Studies) ระบบการบริหารของไลเคิร์ท (Likert's system of Managment) และแบบจำลองกริดของการบริการ (Management grid model)
- การศึกษาของโอไฮโอสเตท มองไปที่ ๒ แบบ คือ
- แบบ "มุ่งคน" คือ เน้นความใกล้ชิดทางจิตใจระหว่างผู้นำผู้ตาม
- แบบ "มุ่งงาน" คือ เน้นกำกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างกระตือรือร้น เพื่อที่จะทำงานให้สำเร็จ
- ทำให้สามารถแบ่งภาวะผู้นำออกเป็น ๔ แบบ ได้แก่
- มุ่งคนต่ำ มุ่งงานต่ำ .. บริหารแบบปล่อยตามสบาย
- มุ่งคนต่ำ มุ่งงานสูง ... บริหารแบบมุ่งประสิทธิภาพงาน
- มุ่งคนสูง มุ่งงานต่ำ ... บริหารแบบบันเทิงสโมสร
- มุ่งคนสูง มุ่งงานสูง ...
- แนวคิดนี้สามารถลงรายละเอียดในการวิเคราะห์โดยใช้กริด (Grid) ดังสไลด์ด้านบน โดยสื่อสานผ่านภาพหรือคู่อันดับ เช่น (1,9), (9,1) เป็นต้น
- (๕,๕) มุ่งงานปานกลาง มุ่งคนปานกลาง ... บริหารแบบทางสายกลาง ... ผมชอบอันนี้
- (๙,๙) มุ่งงานสูงและมุ่งคนสูงด้วย ... บริหารแบบทำงานเป็นทีม
๓.๑.๒) ทฤษฎีการเป็นผู้นำตามสถานการณ์
- ดูที่ องค์ประกอบ ๓ ประการได้แก่
- ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับสมาชิก ... ดูว่า ดี หรือ ไม่ดี
- โครงสร้างงาน ... ดูว่า ชัดเจน หรือไม่ ชัดเจน
- อำนาจในตำแหน่ง ... ดูว่า มาก หรือ น้อย
- ความสัมพันธ์ดี โครงสร้างชัดเจน สถานการณ์เอื้ออำนวยมาก แม้จะมีอำนาจมากหรือน้อย ผู้นำแบบมุ่งงาน จะส่งผลการดำเนินงานดีกว่า
- ความสัมพันธ์ดีแต่โครงสร้างไม่ชัดเจน หรือความสัมพันธ์ไม่ดีแต่มีโครงสร้างงานชัดเจน ถือว่า สถานการณ์เอื้ออำนวยปานกลาง ผู้นำแบบมุ่งคนจะมีผลการดำเนินการดีกว่า
- ความสัมพันธ์ไม่ดี โครงสร้างงานไม่ชัดเจน ถือว่า สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย
- Hersey & Blanchard แบ่งภาวะผู้นำออกเป็น ๔ รูปแบบ คือ
- ผู้นำแบบสั่งงาน (Telling : S1)
- ผู้นำแบบชักจูง (Selling : S2)
- ผู้นำแบบมีส่วนร่วม (Participation : S3)
- ผู้นำแบบมอบหมายงาน (Delegating : S4)
- Hersey & Blanchard แบ่ง ผู้ตาม ออกเป็น ๔ กลุ่ม เช่นกันตามวุฒิภาวะ (Maturity) ซึ่งหมายถึงความสามารถ และความสมัครใจ (Willingness) ในการทำงาน ได้แก่
- ไม่มีความสามารถ ไม่สมัครใจ (M1)
- ไม่มีความสามารถ สมัครใจ (M2)
- มีความสามารถ ไม่สมัครใจ (M3)
- มีความสามารถ และสมัครใจ (M4)
- หากผู้ตามเป็น M1 ให้นำแบบ S1 โดดๆ เลย คือสั่งงานโดยไม่ต้องชักจูง
- หากผู้ตามเป็น M2 ให้นำแบบ S1 และ S2 คือ สั่งงานและชักจูง
- หากผู้ตามเป็น M3 ให้นำแบบ S4 โดดๆ เลย คือ มอบหมายงานโดยไม่ต้องให้มีส่วนร่วม
- หากผู้ตามเป็น M4 ให้นำแบบ S3 และ S4 คือ ทั้งมอบหมายงานและให้มีส่วนร่วม
- ผู้ตาม ความสามารถต่ำ ไม่สมัครใจ ต้องได้ผู้นำแบบ สั่งการ ควบคุม นิเทศ ตรวจตราอย่างใกล้ชิด
- ผู้ตามความสามารถต่ำ สมัครใจ ต้องได้ผู้นำแบบ สั่งการ และจูงใจ คือ ทั้งออกคำสั่ง ควบคุม นิเทศพร้อมกับการให้คำแนะนำ อำนวยความสะดวก สนับสนุน คอยเป็นพี่เลี้ยงให้
- ผู้ตามความสามารถสูง ความใส่ใจงานต่ำ ต้องได้ผู้นำแบบมีส่วนร่วม คอยให้คำชม ให้กำลังใจ รับฟัง คอยช่วยสนับสนุน อำนวยความสะดวกและร่วมตัดสินใจ
- ผู้ตามความสามารถสูง ความใส่ใจงานสูง สามารถนำแบบมอบหมายงานได้ ให้เกียรติ ให้ความเชื่อถือ ไว้วางใจ ในความรู้ความสามารถและความรับผิดชอบ จึงกระจายงานให้ทำอย่างอิสระ และให้ตัดสินใจเองโดยไม่เข้าไปก้าวก่าย
- ภาวะผู้นำแบบวิถีทางสู่เป้าหมาย จะต้องทำสิ่งต่อไปนี้
- กำหนดเป้าหมาย
- ทำวิถีทางให้ชัดเจน
- เคลื่อนย้ายอุปสรรค
- ให้การสนับสนุน
- เพิ่มแรงจูงใจแก่ผู้ตาม
- ทฤษฎีวิถีทางสู่เป้าหมาย มีองค์ประกอบ ๔ ประการ ได้แก่
- พฤติกรรมผู้นำ
- คุณลักษณะส่วนบุคคลของผู้ตาม
- คุณลักษณะของงาน
- การจูงใจ
- บทบาทของผู้นำตามทฤษฎีนี้เน้นทำ ๒ อย่างคือ
- ทำให้วิถีทางชัดเจน ... เห็นเป้าหมายชัด
- กำหนดเป้าหมายให้ผู้ตามเห็นชัด
- แจ้งบทบาทในงานให้ชัด
- ทำให้ผู้ตามได้รับความรู้และความมั่นใจเพิ่มขึ้นว่างานจะสำเร็จ
- การเพิ่มรางวัล
- เรียนรู้เกี่ยวกับความต้องการของผู้ตาม
- จัดรางวัลที่ผู้ตามต้องการ โดยให้เข้าคู่กับผลงานที่ทำได้
- เพิ่มคุณค่าของผลงานให้แก่ผู้ตามมากขึ้น
- ทฤษฎีวิถีทางสู่เป้าหมาย แบ่งภาวะผู้นำออกเป็น ๔ แบบ ได้แก่
- แบบสนับสนุน
- แบบสั่งการ
- แบบมุ่งความสำเร็จ
- แบบให้มีส่วนร่วม
- ถ้าผู้ตามมีความต้องการด้านความรักใคร่สูง ผู้นำควรเป็นสนับสนุน
- ผู้ตามประเภทหัวดื้อรั้น ให้ใช้ภาวะผู้นำแบบสั่งการ
- ลักษณะของงาน เป็นอีกตัวแปรที่ส่งผลต่อภาวะผูนำที่เหมาะสม
- สรุปแล้ว สถานการณ์ที่แตกต่าง ต้องการภาวะผู้นำที่แตกต่าง
- ผู้นำเผด็จการ จะใช้การตัดสินใจแบบใช้อำนาจ ตัดสินใจก่อนแล้วค่อยแจ้ง
- การตัดสินใจแบบปรึกษาหารือ เป็นการตัดสินใจโดยผู้นำเพียงคนเดียว แต่ตัดสินในภายหลังจากได้การปรึกษาหารือ ดูข้อมูลต่างๆ ก่อน
- การตัดสินใจด้วยกลุ่ม สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วม มีการลงมติกัน จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกยอมรับเหตุผลและการตัดสินใจของกลุ่มในท้ายที่สุด
- การพัฒนาภาวะผู้นำ เป็นกระบวนการขยายความสามารถของบุคคลทั้งด้านการนำและการบริหารงาน
- เป็นการพัฒนาความสามารถของบุคคลแต่ละบุคคล
- เป็นการพัฒนาประสิทธิผลในบทบาทของผู้นำและกระบวนการนำ
- บุคคลทุกคนสามารถพัฒนาความสามารถการเป็นผู้นำได้
- MacCauldy เสนอวิธีการพัฒนาภาวะผู้นำ ๔ วิธี ได้แก่
- การเรียนรู้จากการทำงาน
- เรียนรู้จากคนอื่น
- เรียนรู้จากความผิดพลาด
- เรียนรู้จากการฝึกอบรม
- แนวปฏิบัติที่ดีของการพัฒนาภาวะผู้นำด้วย ๔ วิธีข้างต้น ให้ใช้สัดส่วน เรียนรู้จากการลงมือทำ:เรียนรู้จากผู้อื่น:เรียนรู้จากการฝึกอบรม ควรเป็น 70:20:10
- คนแต่ละยุคสมัยเปลี่ยนไป ดังนั้น ภาวะผู้นำต้องเปลี่ยนไปด้วย
- การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงกำลังมา ... ท้าทายการพัฒนาภาวะผู้นำอย่างยิ่ง
- ทักษะใหม่ๆ ที่ผู้นำสมัยใหม่ต้องมี ได้แก่
- ทักษะเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ตาม คือ ฉับไวต่อความรู้สึกของกลุ่ม
- ทักษะด้านการสื่อสาร สื่อความหมาย
- ทักษะในสมภาพ หรือความเสมอภาค
- ทักษะในการจัดการ จัดดำเนินงาน
- ทักษะในการตรวจสอบตัวเอง
- ผศ.ดร.กานจน์ ท่านเน้นย้ำก่อนจะเริ่มบรรยายว่า สิ่งที่เรา (ผู้กำลังพัฒนาภาวะผู้นำ) ควรจะเรียนรู้ ก็คือ การเรียนรู้จากผู้นำสำคัญของโลก
- ท่านแต่งหนังสือไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๙ สืบค้นได้ในสำนักวิทยบริการ ท่านแต่งกลอนเกี่ยวกับคุณลักษณะที่ดีของผู้นำได้ ดังสไลด์ ซึ่งผมจับประเด็นได้ ๑๐ ข้อ ได้แก่
- มีคุณธรรม
- บุคลิกองอาจ
- มีเชาว์ปัญญา ไม่ขลาดเขลา
- มีสติ
- กล้าตัดสินใจ
- สม่ำเสมอ
- สุขุม
- สุจริต
- ยุติธรรม
- รับฟังคนอื่น
- ตอนท้ายของการบรรยาย ท่านเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาตนเองให้นิสิตเป็นผู้มีบุคลิกภาพการเป็นผู้นำที่ดี ดังสไลด์ต่อไปนี้
- สุดท้ายท่านจบการบรรยายด้วย การเน้นย้ำ ดังต่อไปนี้
- ผู้นำ Do the things right. คือ ทำสิ่งต่างๆ ให้ถูกให้ควร ผู้บริหารเพียง Do the right things. คือ ทำสิ่งที่ถูก
- Leader is made. ความเป็นผู้นำ สามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นได้
- ผู้นำที่ดีต้องมี คารวะธรรม ปัญญาธรรม และ สามัคคีธรรม (ศ.ดร.สาโรจ บัวศรี)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น