วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

รายวิชาศึกษาทั่วไป : ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน ๑-๒๕๖๑ (๔) "การศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชน"

การศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม คือ หัวเรื่องที่นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามทุกคนต้องเรียน เรียนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ รายวิชา ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน เป็นกลไกหลักในการจัดการเรียนรู้เพื่อเป้าหมายการเรียนรู้ดังต่อไปนี้

ผลลัพธ์ทางการเรียนที่คาดหวัง (Learning Outcome, LO)

LO ในบทเรียนนี้กำหนดไว้เพียง ๒ ประการหลัก ได้แก่ 
  • นิสิตสามารถเรียนรู้ร่วมกันเพื่อพัฒนาชุมชนได้
  • นิสิตสามารถใช้เครื่องมือศึกษาชุมชนเบื้องต้นในการเรียนรู้ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมได้ 
ผลลัพธ์การเรียนรู้โดยละเอียดกำหนดไว้ใน มคอ.๓ (ดาวน์โหลดได้ทีี่นี่) LO ทั้งสองข้อกำหนดไว้กว้างๆ โดยเน้นไปที่การเรียนรู้ร่วมกันและการใช้เครื่องมือศึกษาชุมชนพื้นฐานเบื้องต้นในการเรียนรู้ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมเท่านั้น  นิสิตที่จะสามารถศึกษาและบรรลุผลตามนี้ ควรจะมีความรู้และสมรรถนะ ดังต่อไปนี้ 
  • สามารถบอกได้ว่า "ชุมชน" คืออะไร และเนื่องจากชุมชนมีความหมายกว้างขวางมาก จึงเจาะจงลงไปที่ "ชุมชนในบริบทของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน" 
  • สามารถยกตัวอย่าง "ชุมชนในบริบทของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนได้"
  • สามารถบอกถึงปรัชญาและหลักการในการศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนได้  
  • สามารถบอกได้ว่า เครื่องมือศึกษาชุมชนเบื้องต้นที่จำเป็นมีอะไรบ้าง 
  • สามารถอธิบายวิธีการใช้เครื่องมือศึกษาชุมชนเบื้องต้นที่จำเป็นได้ 
  • สามารถอภิปรายวิธีนำองค์ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือศึกษาชุมชนไปใช้ได้ 
  • สามารถวิเคราะห์สถานการณ์และตัดสินใจในการศึกษาชุมชนได้อย่างเหมาะสม 
  • สามารถประเมินความสำเร็จของการศึกษาพื่อพัฒนาชุมชนได้
เนื้อหา
(ถอดบทเรียนจากการบรรยายของอาจารย์สายไหม ไชยศิรินทร์ ประธานสาขาวิชาพัฒนาชุมชน
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม)

๑) ความหมายของชุมชนในบริบทของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน


“ชุมชน” มีความหมายที่หลากหลายมาก แตกต่างไปตามสภาพของสังคม การดำเนินชีวิตของผู้คนในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะสังคมในยุคโลกาภวัตน์ที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงจากเดิมโดยสิ้นเชิง การนิยามความหมายมาจากหลายศาสตร์ ได้แก่ ภูมิศาสตร์  คือ มีอาณาเขต อาณาบริเวณ พื้นที่ สังคมวิทยา คือ ความสัมพันธ์ของคน วัฒนธรรม วิถีชีวิต แบบแผนการดำเนินชีวิต มานุษยวิทยา คือ อุดมการณ์ จิตวิญญาณ และเป้าหมายในการพัฒนาร่วมกัน และจิตวิทยา คือ การมีสำนึกร่วมกัน มีความรู้สึกเป็นพี่เป็นน้องกัน เช่น

ศาสตราจารย์สัญญาวิวัฒน์ นักสังคมวิทยาอาวุโสของสังคมไทย ได้ให้ความหมายของชุมชนไว้ว่า "องค์การทางสังคมอย่างหนึ่งที่มีอาณาเขตครอบคลุมท้องถิ่นหนึ่ง ที่ปวงสมาชิกสามารถบรรลุถึงความต้องการพื้นฐานส่วนใหญ่และสามารถแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่ในชุมชนของตนเองได้"

ศาตราจารย์ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโสของสังคมไทย ได้ให้ความหมายว่า "การที่คนจำนวนหนึ่งมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน มีความพยายามทำอะไรร่วมกัน มีการรับรู้ร่วมกันซึ่งรวมถึงการติดต่อสื่อสารกัน”

รายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน เป็นรายวิชาที่จัดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างหลักสูตร ทำให้ลักษณะของชุมชนที่สอดคล้องกับธรรมชาติของสาขาหรือหลักสูตรแตกต่างกันมาก ดังนั้น ความหมายของชุมชนในบริบทของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน จึงควรกำหนดให้ครอบคลุมความหมายทั้งหมดที่กล่าวมา และมีความยืดหยุ่นเพื่อส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งผู้เรียนและชุมชน ดังนี้

ชุมชนในบริบทของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน หมายถึง กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน หรือกลุ่มคนที่มีความสนใจเหมือนกัน หรือองค์กรทางสังคมที่มีการใช้กฎเกณฑ์หรือกฎระเบียบร่วมกัน ที่สมาชิกมีปฏิสัมพันธ์กันหรือความสัมพันธ์กันหรือมีการรับรู้ร่วมกัน มีการสื่อสารเพื่อทำอะไรร่วมกัน
ชุมชนในบริบทของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน จึงเป็นชุมชนที่แตกต่างหลากหลายไปตามธรรมชาติทางวิชาการของแต่ละหลักสูตร เช่น ชุมชนเชิงพื้นที่ (กำหนดอาณาบริเวณ) เช่น หมู่บ้าน เทศบาล ฯลฯ ชุมชนที่เป็นกลุ่มคน (มีความสนใจเดียวกัน) เช่น กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มผู้เลี้ยงปลา กลุ่มทำฟาร์มเห็ด สมาคม ครูสอนสาระวิชาเดียวกัน ฯลฯ ชุมชนสถาบันทางสังคม เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย วัด ฯลฯ ชุมชนนักปฏิบัติ (Coperative Community; CoP) หรือชุมชนทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) เช่น ครู อาจารย์ ช่างยนต์ มัคคุเทศก์ ฯลฯ หรืออาจเป็นชุมชนเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งครอบคลุมถึงการซื้อขายออนไลน์ด้วย เช่น ตลาดนัด ตลาดนัดออนไลน์  ฯลฯ

คำว่า "พัฒนา" หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงจากสภาพหนึ่งไปยังอีกสภาพหนึ่งในทางที่ดีขึ้น การพัฒนาอาจแยกได้เป็น ๒ แบบ คือ การริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ เช่น การประดิษฐ์คิดค้น ฯลฯ และการปรับปรุงพัฒนาสิ่งเดิมให้ดีขึ้น การพัฒนาต้องพิจารณาให้ครอบคลุมทั้งด้านวัตถุและจิตใจไปพร้อมๆ กัน

การพัฒนาชุมชนจึงหมายถึง การพัฒนาชุมชนให้ดีขึ้น ด้วยวิธีการ (Method) ขบวนการ (Movement) และกระบวนการ (Process) ที่กำหนดขึ้นอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ชุมชนส่วนรวมดีขึ้น โดยให้สมาชิกของชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ  จุดมุ่งหมายหลักของการพัฒนาชุมชน  ๓  ประการ ได้แก่ ชุมชนเข้มแข็ง ชุมชนอยู่ดีมีสุข และชุมชนน่าอยู่

ชุมชนเข้มแข็ง หมายถึง คนมีประสิทธิภาพ สามารถแก้ปัญหาของตนเองและชุมชนได้ สมาชิกแต่ละคนนำความสามารถของตนเองออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ และที่สำคัญคือสมาชิกในชุมชนให้ความร่วมมือในการพัฒนาชุมชน มีความสามัคคีกัน 

ชุมชนอยู่ดีมีสุข หมายถึง คนในชุมชนคุณภาพชีวิตที่ดี มีฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวและชุมชนดีขึ้น ชุมชนน่าอยู่ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ผู้คนมีจิตใจดี เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจ มีสิทธิและอิสรภาพตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

๓) กระบวนการพัฒนาชุมชน


กระบวนการพัฒนาชุมชน มีอย่างน้อย ๖ ขั้นตอน ได้แก่ การศึกษาชุมชน การวิเคราะห์ชุมชน จัดลำดับปัญหาและความต้องการของชุมชน การวางแผนพัฒนาในลักษณะโครงการ การดำเนินโครงการพัฒนาชุมชน การประเมินผลความสำเร็จของโครงการ และการทบทวนปัญหาและอุปสรรค์

การศึกษาชุมชน คือ การเข้าไปศึกษาเพื่อทำความเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆ ของชุมชน ทั้งทางด้านกายภาพ สังคม วัฒนธรรม ประเพณี เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์ของการศึกษาชุมชนที่แตกต่างกันไปตามความต้องการของผู้ศึกษา 



วัตถุประสงค์ของการศึกษาชุมชนหลักๆ ที่สำคัญ ได้แก่ เพื่อหาข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน ๒) เพื่อค้นหาองค์ความรู้ใหม่หรือเพิ่มเติมองค์ความรู้เดิมเกี่ยวกับชุมชนเป้าหมายมากยิ่งขึ้น และ ๓) เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอื่นๆ ตามความต้องการของผู้ศึกษา 


๔) วิธีการและเครื่องมือในการศึกษาชุมชน

(เรียบเรียงจากผลงานของ ผศ.ดร.กนกพร รัตนสุธีระกุล ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม)

การศึกษาชุมชนที่จะทำความเข้าใจบริบทของชุมชน ทำเป็นต้องอาศัยการใช้เครื่องมือที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การศึกษาในมิติต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อและเที่ยงตรง โดยปกติแล้วกระบวนการศึกษาชุมชนจะเกี่ยวข้องกับประเด็นที่เป็นสภาพทั่วไป ทุนของชุมชน ปัญหาและความต้องการของชุมชน เพื่อใช้ข้อมูลเหล่านั้นในการนำทางไปสู่การวางแผนเพื่อพัฒนาชุมชน โดยมีเครื่องมือที่สำคัญๆ ๓ ประการ ได้แก่ การสังเกต (Observation) การสัมภาษณ์ (Interview) และการสนทนากลุ่ม (Focus group) ดังมีรายละเอียดดังนี้

๔.๑) การสังเกต (Observation)


ความหมาย

การสังเกตคือ กระบวนการการเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นหรือปรากฏการณ์ โดยใช้ โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น หรือผิวกายสัมผัส อย่างเอาใจใส่ อย่างมีระเบียบวิธี เพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ๆ กับบริบทรอบข้าง วัตถุประสงค์หลักของการสังเกตคือการทำความเข้าใจลักษณะธรรมชาติและปรากฏการณ์ของชุมชน และพฤติกรรมของผู้คนในชุมชน

ประเภทของการสังเกต

โดยปกติแล้วการสังเกตมี 2 ประเภทได้แก่
     ๑) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation/Field observation) คือ กระบวนการที่ผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วมในชุมชนหรือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่ทำการศึกษา ทำกิจกรรมร่วมกันและทำให้คนในชุมชนยอมรับ
     ๒) การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-Participant Observation) เป็นกระบวนการสังเกตที่ผู้สังเกตเฝ้าอยู่วงนอก ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่มที่ทำการศึกษา เป็นเพียงเฝ้าสังเกตพฤติกรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เคยเป็น ภายใต้การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมยังจำแนกออกเป็น
               ๒.๑) การสังเกตแบบมีโครงสร้าง (Structure observation) เป็นการสังเกตการณ์ที่เป็นระบบ ผู้ศึกษาทราบถึงวัตถุประสงค์ของการสังเกตการณ์ มีการเตรียมการสิ่งที่ต้องการสังเกตไว้ล่วงหน้า ข้อที่ต้องศึกษา และวิธีการวิเคราะห์ทำให้สามารถที่จะสังเกตการณ์อย่างเป็นระบบ
               ๒.๒) การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured observation) เป็นการสังเกตการณ์ที่ผู้ศึกษาได้เตรียมวัตถุประสงค์ของการสังเกตไว้ล่วงหน้า เนื่องจากการสังเกตแบบนี้เป็นการสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงตามธรรมชาติ ตามปกติวิสัย และพฤติกรรมที่แสดงออกจึงเป็นไปตามเงื่อนไขของบุคคลนั้น ผู้ศึกษาไม่อาจจะเตรียมการไว้ล่วงหน้าได้

ข้อดีของการสังเกต

  • สามารถสังเกตหรือบันทึกพฤติกรรมได้ทันที่ที่เกิดขึ้น ทำให้สามารถจดบันทึก เรียบเรียงสิ่งที่สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็ว
  • ได้ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงตรงกับสภาวการณ์จริงของพฤติกรรมนั้น โดยปราศจากอคติ ความลำเอียง หรือตีความไปในประเด็นที่คาดเคลื่อนจากความเป็นจริง


ข้อจำกัดของการสังเกต
  • ไม่สามารถที่จะทำนายได้อย่างแน่ชัดว่า เหตุการณ์ๆหนึ่งจะเกิดตามธรรมชาติเมื่อใด จึงสังเกตการณ์ได้ทัน
  • มีสภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่คาดคิดมาก่อน
เทคนิคเบื้องต้นของการสังเกต


  • เทคนิคในการสังเกตมีหลากหลาย ไม่ตายตัว นิสิตอาจเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายๆ วีธีในการสังเกต
  • สังเกตและจดบันทึกทุกอย่างที่มองเห็นในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง
  • รอให้มีเหตุการณ์ ที่สะดุดตา สะดุดใจ แล้วจึงเริ่มการสังเกตในประเด็นที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้สังเกต
  • สังเกตสิ่งที่เห็นว่าเป็นความขัดแย้ง เป็นปัญหา เริ่มสังเกตจากสิ่งที่ชาวบ้านมองว่าเป็นปัญหา

ในขณะเดียวกันในการบันทึกข้อมูลที่สังเกตเห็นจะต้องรีบจดบันทึกสั้นๆ เพื่อกันลืมแล้วขยายใจความทีหลัง อาจวาดภาพ แผนผังประกอบการบันทึก ในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงด้วยว่าในขณะที่บันทึกผู้สังเกตจะต้องดูบรรยากาศเหตุการณ์ว่าอำนวยในการบันทึกหรือไม่

๔.๒) การสัมภาษณ์ (Interview)

ความหมายของการสัมภาษณ์ 

การสัมภาษณ์ คือ การสนทนาซักถามอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ต้องการ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ จะช่วยอธิบายสิ่งที่พบเห็นหรือสังเกตได้ ซึ่งจำเป็นต้องมีโครงสร้างของคำถามและสามารถควบคุมทิศทางโครงสร้างของเนื้อหาให้เป็นเรื่องที่ต้องการทราบหรือปัญหาในการศึกษา (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2540) โดยมีจุดสนใจของการสัมภาษณ์ คือ การหาข้อมูลเกี่ยวกับกฎ ระเบียบหรือ ระบบความหมายที่เหตุการณ์หรือปรากฎการณ์สังคมหนึ่งๆ มีอยู่

องค์ประกอบของการสัมภาษณ์

การสัมภาษณ์จะเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทำหรือความสัมพันธ์ต่อกันระหว่างผู้ถูก(ให้)สัมภาษณ์และผู้สัมภาษณ์  โดยหลักของการสัมภาษณ์ที่ดีควรต้องคำนึงทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์ดังนี้
  • ผู้ให้สัมภาษณ์ เป็นบุคคลที่สามารถให้ข้อมูลที่แท้จริงในประเด็นที่ต้องการศึกษา ซึ่งผู้ให้สัมภาษณ์สามารถที่จะแสดงออกในการตอบคำถาม ตามความคิดเห็นของตนเอง
  • ผู้สัมภาษณ์ อาจจะเป็นผู้ศึกษา และ หรือ บุคคลอื่นที่ผู้ศึกษาได้คัดเลือกให้เป็นผู้สัมภาษณ์ ซึ่งต้องได้รับการฝึกฝนวิธีการสัมภาษณ์ ในขณะเดียวกันผู้สัมภาษณ์จะต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ของเรื่องที่จะทำการศึกษาอย่างละเอียดเพื่อให้สามารถซักถามผู้ให้สัมภาษณ์ได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์

ประเภทของการสัมภาษณ์ 

การสัมภาษณ์สามารถแบ่งตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาได้ ๓ ประเภท ได้แก่
  • การสัมภาษณ์แบบเจาะจง (Focus Group Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่เจาะจงหัวข้อเรื่องที่ต้องการข้อมูล เช่น การสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใด สถานการณ์หนึ่ง เช่น การบริหารกองทุนหมู่บ้าน
  • การสัมภาษณ์ที่ไม่กำหนดคำตอบล่วงหน้า (Non-Directive Interview) เป็นวิธีการสัมภาษณ์ที่ต้องการรายละเอียดมากที่สุดในเรื่องที่ผู้ศึกษาต้องการ เช่น การสัมภาษณ์ของนักจิตวิทยาต่อผู้ป่วย
  • การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-dept Interview) เป็นวิธีการสัมภาษณ์ซึ่งต้องการรายละเอียดมากที่สุดในเรื่องที่ผู้ศึกษาต้องการและผู้ศึกษาเองก็ต้องมีกระบวนการเตรียมข้อมูลเพื่อที่จะสัมภาษณ์ เช่น การสัมภาษณ์ชีวประวัติบุคคล

แบ่งตามเทคนิคการสัมภาษณ์ แบ่งได้ ๓ ประเภท ได้แก่
  • การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ถามคำถามต่างๆที่มีไว้ในแบบสัมภาษณ์ โดยไม่สามารถที่จะดัดแปลงเป็นคำถามอื่นๆได้ เป็นการสร้างมาตรฐานเดียวกันกับการสัมภาษณ์บุคคลอื่นๆด้วยเช่นกัน
  •  การสัมภาษณ์อย่างไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่ไม่มีกรอบในคำถามของการสัมภาษณ์ที่แน่นอน ชัดเจน เป็นเพียงแนวทางกว้างๆในการสัมภาษณ์ (Interview guide) ซึ่งสร้างขึ้นเป็นประด็นหรือหัวข้อในการสัมภาษณ์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ โดยผู้สัมภาษณ์จะต้องกำหนดว่าต้องการสัมภาษณ์ในประเด็นอะไร เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ได้แสดงความคิดเห็นต่อข้อคำถามได้อย่างเปิดกว้าง
  • การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structure Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่ประกอบด้วยคำถามต่างๆในแบบสอบถามแต่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนของคำตอบ

หลักการสัมภาษณ์
     การสัมภาษณ์เพื่อให้ได้คำตอบที่น่าเชื่อถือ เที่ยงตรงจะต้องมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
  • การแนะนำตัวเอง (Introduction) ผู้สัมภาษณ์จะต้องแนะนำตัวเองเสียก่อนเพื่อให้ผู้ให้สัมภาษณ์ได้ทราบและคุ้นเคย และจะต้องสังเกตในขณะเดียวกันว่าผู้ให้สัมภาษณ์มีความพร้อมที่จะให้สัมภาษณ์หรือไม่ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของระยะเวลาและสถานที่
  • หลักการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี (Good Relationship) เป็นขั้นตอนการสัมภาษณ์ที่จะต้องสร้างความคุ้นเคย มีมนุษยสัมพันธ์อันดีต่อผู้ให้สัมภาษณ์
  • การเข้าใจวัตถุประสงค์ (Objective) โดยผู้สัมภาษณ์จะต้องมีความเข้าใจต่อวัตถุประสงค์ของคำถามที่กำหนดขึ้น เพื่อที่จะทำให้เกิดความเข้าใจในการซักถาม และควรจะต้องแจ้งวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ให้แก่ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกครั้งเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจร่วม
  • การจดบันทึก (Take note) ในทุกกระบวนการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์จะต้องเตรียมการจดบันทึกในขณะที่ทำการสัมภาษณ์ การจดบันทึกเพื่อให้ได้คำตอบที่ได้โดยเป็นการบันทึกลงในแบบสัมภาษณ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งขั้นตอนนี้ผู้สัมภาษณ์จะต้องมีความตั้งใจ ในการเก็บประเด็นการสัมภาษณ์ เพื่อให้ข้อมูลที่สมบูรณ์
  • เทคนิคที่สำคัญในระหว่างการสัมภาษณ์ ประกอบไปด้วย
    • การสังเกตกริยา พฤติกรรม สิ่งแวดล้อมและบรรยากาศรอบๆของผู้ให้สัมภาษณ์ 
    • การฟัง (listening) ผู้สัมภาษณ์จะต้องตั้งใจฟัง ยอมรับบทสนทนาของผู้ให้สัมภาษณ์แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา 
    • การซักถาม (Questioning) ผู้สัมภาษณ์จะต้อมีทักษะในการรู้จักตั้งคำถาม เพื่อให้เข้าใจง่ายและไม่ชี้นำในการตอบคำถาม 
    • การถามซ้ำ (probling) การถามซ้ำจะดำเนินในกรณีที่ต้องการกระตุ้นคำถามเพื่อให้ได้คำตอบที่ตรงประเด็น หรือเพื่อสร้างความชัดเจนในคำตอบ หรือเพื่อให้ได้ภาพรายละเอียดอย่างต่อเนื่อง (channel probe) หรือเพื่อสังเกตปฏิกิริยาตอบรับของผู้ให้สัมภาษณ์
  • การกล่าวขอบคุณ เป็นกระบวนการสุดท้ายของการสัมภาษณ์ โดยเมื่อเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์จะต้องกล่าวขอบคุณแก่ผู้ให้สัมภาษณ์ ที่เสียสละเวลาในการให้สัมภาษณ์ โดยปกติการสัมภาษณ์ที่ดีไม่ควรใช้เวลาเกิน 1 ชั่วโมง การสัมภาษณ์ที่เหมาะสมควรอยู่ในระหว่าง 30-45 นาที
ข้อดีของการสัมภาษณ์
  • ผู้สัมภาษณ์ เป็นการติดต่อโดยตรงระหว่างผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ (two way communication) ซึ่งสามารถทำความเข้าใจในข้อมูลได้ตรงกัน ได้คำตอบที่ต้องการอย่างสมบูรณ์ และสามารถอธิบายข้อสงสัยต่างๆให้ผู้ตอบได้
  • สามารถเก็บข้อมูลได้กับกลุ่มเป้าหมายทุกระดับ ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่อ่านออกเขียนได้เท่านั้น
  • สามารถสังเกตบริบทสภาพแวดล้อมในระหว่างการสัมภาษณ์ได้
ข้อจำกัดของการสัมภาษณ์

  • ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์จะน่าเชื่อถือ และสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อผู้สัมภาษณ์ให้ความร่วมมือ และผู้สัมภาษณ์มีเทคนิคและทักษะในการสัมภาษณ์ และการตั้งคำถามเพื่อตอบให้ได้ตรงตามประเด็นที่ต้องการ
  • การสัมภาษณ์บางครั้งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจทันทีของผู้ให้สัมภาษณ์ อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาดได้
  • สิ้นเปลืองเวลา ค่าใช้จ่าย และแรงงาน

๔.๓) เทคนิคการสนทนากลุ่ม (Focus Group)

ความหมายของการสนทนากลุ่ม

การสนทนากลุ่ม เป็นวิธีการศึกษาชุมชนที่ต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลในภาพรวม เช่น ทัศนคติ ความคิดเห็น ซึ่งมักจะเริ่มจากการเลือกบุคคลที่มีคุณลักษณะทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน (Homogeneous group) มารวมกลุ่มเพื่อสนทนากัน โดยจะมีผู้นำการสนทนา ที่เรียกว่า Moderator ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในการนำประเด็นการสนทนาและมีทักษะในการควบคุมสถานการณ์ในการสนทนาได้เป็นอย่างดี โดยปกติแล้วการสนทนากลุ่มจะต้องเลือกสถานที่ที่มีบรรยากาศที่สงบปราศจากเสียงรบกวน หรือมีปัจจัยภายนอกเข้ามารบกวน

รูปแบบการสนทนากลุ่ม จะเป็นการนั่งพูดคุยสนทนาระหว่างคนมากกว่า ๒ คน แต่ไม่เกิน ๑๒ คน หรือ การเป็นพูดคุยกลุ่มเล็ก โดยมีผู้ดำเนินการสนทนาและมีผู้คอยจดประเด็นการพูดคุยของสมาชกในกลุ่ม ชัดจูงให้ผู้ร่วมสนทนาให้แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นที่ยกขึ้นมาเพื่อเปิดกว้างให้ผู้เข้าร่วมสนทนา ร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นร่วมกัน และหาข้อสรุป

องค์ประกอบของการสนทนากลุ่ม

บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
  • ผู้ดำเนินการสนทนา (Moderator) ผู้ดำเนินการสนทนาจะต้องเป้นผู้ที่สื่อสารภาษาถิ่นได้ถูกต้อง มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความรู้ ความเข้าใจต่อวัตถุประสงค์การศึกษาเป็นอย่างดี เพื่อที่จะสามารถตั้งประเด็นการสนทนาได้
  • ผู้จดบันทึกการสนทนา (Notetaker) ทำหน้าที่ในการจดบันทึกตามประเด็นที่ผู้ร่วมสนทนาได้แสดงความคิดเห็น และเชื่อมโยงประเด็นเข้าสู่ข้อมูลที่ต้องการศึกษา
  • ผู้ช่วย (Assistant) ผู้ช่วยทำหน้าที่ช่วยเหลือในการประชุมการสนทนากลุ่มเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย
ขั้นตอนการสนทนากลุ่ม


ขั้นตอนในการสนทนากลุ่ม ประกอบด้วย
  • การเลือกบุคคลที่จะเข้าร่วมการสนทนากลุ่ม จำนวน ๖-๑๒ คน
  • นำผู้เข้าร่วมกันสนทนามาพบกันที่จุดหมาย
  • ผู้ดำเนินการสนทนาแนะนำตัวเอง อธิบายวัตถุประสงค์ของการสนทนา สร้างบรรยากาศความเป็นกันเอง ขอความยินยอมจากผู้เข้าร่วมสนทนาหากต้องการบันทึกเสียง
  • เริ่มการสนทนาตามแนวทางการสนทนาที่ได้ดำเนินการเตรียมประเด็นคำถามไว้
  • สรปุประเด็น เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมการสนทนาซักถาม และแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
  • กล่าวขอบคุณ

๕) เทคนิคการเรียนรู้ในชุมชน 


ปรัชญาหรือกระบวนทัศน์ที่ถูกต้อง

ก่อนที่จะเข้าศึกษาชุมชน ผู้ปฏิบัติงานพัฒนาจะต้องมีฐานคิดสำคัญต่อการมองภาพของชุมชน 4 ประการ ดังนี้
  • ชุมชนไม่ใช่ภาชนะที่ว่างเปล่า การมองชุมชน “เปรียบเสมือนกับภาชนะว่างเปล่า ที่ไม่มีอะไรอยู่ข้างในเลยจะเกิดการเข้าไปกำหนดทุกอย่าง โดยไม่ได้ดูว่าชุมชนมีศักยภาพหรือทุนทางสังคมอะไรอยู่บ้าง ทำให้ชุมชนต้องเป็นฝ่ายรอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการ หรือ องค์กรภายนอกที่จะนำความรู้ เทคโนโลยีอุปกรณ์ เครื่องมือ และระเบียบวิธีการจัดการต่างๆ เข้าไปให้ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิดในการพัฒนาชุมชน
  • ชุมชนไม่ได้อยู่แบบแยกส่วนในแต่ละมิติ หากแต่ชุมชนคือองค์รวม และมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทั้งในมิติของประวัติศาสตร์ โครงสร้างสังคม ระบบเศรษฐกิจ ระบบความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณี  ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานไม่ควรมองชุมชนแบบขาดการเชื่อมโยง เน้นการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องแยกเป็นส่วนๆ โดยไม่มองปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลเชื่อมโยงถึงกัน
  • ชุมชนไม่ได้มีองค์กรเดียว เมื่อลงไปเกี่ยวข้องกับองค์กรชุมชน เรามักจะนึกถึงองค์กรผู้นำที่เป็นทางการอย่างเดียว เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ผู้ใหญ่บ้าน (ผญ.บ.) กรรมการหมู่บ้าน (กม.) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในขณะที่องค์กรหรือผู้นำธรรมชาติอื่นๆ นั้นเรามักไม่ได้ให้ความสนใจ แต่ในวิถีชีวิตจริงของชาวบ้านมักมีกลุ่มที่รวมตัวกันเองตามธรรมชาติ เช่น กลุ่มผู้สูงอายุที่ถือศีลอยู่ในวัดช่วงเข้าพรรษา กลุ่มคนเลี้ยงวัว กลุ่มแม่บ้านที่รวมตัวกันไปปลูกแตงในฤดูแล้ง กลุ่มพ่อบ้านที่รวมตัวกันไปทำงานต่างถิ่น หรือแม้แต่คณะกรรมการผ้าป่า กลุ่มศรัทธาวัด หรือกลุ่มเล่นแชร์ ซึ่งล้วนแต่เป็นองค์กรชุมชนลักษณะหนึ่ง แต่เรามักไม่ได้ให้ความสนใจกับองค์กรที่ไม่เป็นทางการเหล่านี้ ทำให้เราเห็นศักยภาพของชุมชนอย่างจำกัด (โกมาตร, 2550)
  • ชุมชนทุกชุมชนไม่เหมือนกันหมด หากนักพัฒนามีฐานมาจากความคิดที่ว่าหากแผนงานโครงการหนึ่งทำสำเร็จในที่หนึ่งก็สามารถขยายผลไปทำในที่อื่นๆ ได้ทั่วประเทศอาจจะไม่ใช่ข้อสรุป เพราะชุมชนแต่ละชุมชนมีบริบท สภาพแวดล้อม ทุนทางสังคม ปัจจัย เงื่อนไข ข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนั้นการทำงานพัฒนาชุมชน จะต้องให้ความสำคัญต่อการศึกษาชุมชนเพื่อนำไปสู่การวางแผนที่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของชุมชน (real need)

ทำความเข้าใจหลักการศึกษาชุมชน

หลักในการศึกษาชุมชนสำคัญๆ มีดังต่อไปนี้ 
  • คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของสมาชิกชุมชน โดยต้องคำนึงถึงเสมอว่าชุมชนมีความหลากหลายและอาจขัดแย้งได้
  • ควรให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการศึกษา ชุมชน/ท้องถิ่น ตนเอง เพื่อพัฒนาจิตสำนึก ประเด็นปัญหา เช่น บุคคลประเภทใดและใครที่ควรเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการศึกษาพัฒนา
  • วิธีการศึกษา ได้แก่การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม ให้สมาชิกชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปข้อมูล ทำให้เกิดความตระหนักด้วยตนเอง การลงไปชุมชนแล้ววิจัยเฉยๆ ไม่เห็นผล ต้องมีการปฏิบัติการด้วย
  • สิ่งที่ควรพิจารณาในการศึกษาชุมชนเพื่อการพัฒนาคือ ความไม่เท่าเทียมกันของศักยภาพของกลุ่ม บุคคลต่างๆ ความตั้งใจ เวลา ความรู้ ความร่วมมือ ทรัพยากรอื่นๆ เช่น เงิน วัตถุ วัฒนธรรม สถานที่ นอกจากนี้ยังมีความหลากหลายของคนที่สนใจ แต่ละกลุ่มสนใจงานพัฒนาไม่เหมือนกัน จุดมุ่งหมายต่างกัน
  • มองบริบทของชุมชน เช่น ลักษณะสภาวะและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน บทบาทองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ปัญหาสำคัญของชุมชน ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยมสำคัญของชุมชน

การเตรียมตัวเข้าชมุชน

ในกระบวนการเก็บข้อมูลชุมชน คำว่า สนาม หมายถึง พื้นที่ หรือ ปรากฏการณ์ทางสังคม ชุมชน ที่เราจะศึกษา สนาม อาจจะเป็นหมู่บ้านในชนบท ชุมชนแออัดในเมือง ดังนั้นการเตรียมตัวทำงานภาคสนามจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการปูพื้นฐานเพื่อให้สามารถมองเห็นภาพรวมของแต่ละชุมชนที่นักพัฒนาลงไปปฏิบัติงาน ต้องวางแผนการเข้าพื้นที่โดยคำนึงถึงความผสมกลมกลืนที่และดูเป็นธรรมชาติมากสุด  (สุภางค์ จันทวานิช, 2546 ) เช่น
  • การแต่งกายที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ 
  • การวางตัวที่เหมาะสม เช่น ไม่ควรดื่มเหล้าจนเมามาย ไม่ควรเกี่ยวพาราสีหญิงสาวในชุมชน ควรวางตัวให้เรียบร้อยเพื่อให้สอดคล้องกับแบบแผนประเพณีของแต่ละท้องถิ่น
  • การเตรียมอุปกรณ์อื่นที่จำเป็นในการปฏิบัติงานภาคสนาม เช่น กล้องถ่ายภาพ เทปบันทึกเสียง
  • การใช้ภาษาที่เหมาะสม สุภาพ และเป็นกันเอง
  • การศึกษาข้อมูลเบื้องต้นก่อนลงศึกษาภาคสนาม เช่น การศึกษาค้นคว้าข้อมูลของชุมชนจากเอกสาร
การแนะนำตัว


การเข้าไปในชุมชนแม้จะไม่ใช่เรื่องยาก แต่การเข้าไปแล้วจะนักพัฒนาจะเป็นที่ยอมรับเสมือนหนึ่งเป็นลูกหลานเป็นสมาชิกคนหนึ่งของชุมชนนั้น เป็นเรื่องที่ต้องอาศัย เทคนิคกระบวนการที่หลากหลาย และเทคนิคขั้นแรกที่สำคัญคือ การสร้างความประทับใจเมื่อแรกพบ (First impression) ดังนั้นเทคนิคการแนะนำตัว มีหลายวิธีการได้แก่
ให้คนที่" “ชุมชนรู้จักดีช่วยเป็นผู้แนะนำเข้าพื้นที่
  • แนะนำตนเองในบทบาทที"ชาวบ้านรู้จักได้ง่ายรู้จักเลือกบอกบทบาทที่คิดว่าชาวบ้านรู้จักได้ง่าย จะเหมาะสมกว่า เช่น แนะนำตนเองในบทบาทนิสิตซึ่งเป็นสถานภาพที่รู้จักกันโดยทั่ว ไปอยู่แล้ว ช่วยให้ชาวบ้านรู้ได้ถึงความเป็นลูกหลาน
  • อาจมีจดหมายนำส่งจากหน่วยงานต้นสังกัดของผู้ที่ไปปฏิบัติงานในชุมชน
  • แนะนำตน ผ่านผู้นำชุมชน

สิ่งที่ควรตระหนักตามมาในการแนะนำตัวคือ การชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ของการเข้าพื้นที่ และบอกระยะเวลาของการเข้าศึกษาชุมชน ตลอดจนอาจขอความอนุเคราะห์จากผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานเพื่อผลประโยชน์ของชุมชน

เทคนิคการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน

เทคนิคพื้นฐานของการเข้าพื้นที่ชุมชน คือ เทคนิคการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนซึ่งถือว่าเป็นเทคนิคแรกและเป็นเทคนิคที่สำคัญของการพัฒนาชุมชน การสร้างความสัมพันธ์ ความศัรทธา และความไว้เนื้อเชื้อใจจากชุมชน มีเทคนิคดังนี้
  • สร้างความประทับใจเมื่อแรกพบ
  • แสดงความสงบเสงี่ยม
  • หลีกเลี่ยงการตั้งคำถามที่ทำให้อึดอัด
  • ไม่ทำตัวทัดเทียมผู้นำชุมชน
  • พยายามเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมชุมชน
  • ควรมีผู้เริ่มแนะนำที่ชาวบ้านยอมรับ
  • เมื่ออึดอัดอย่างท้อถอย
  • ถือว่าการทำงานในสนาม ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องงาน
  • ต้องเข้าใจว่า การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีอาจต้องใช้เวลา
  • เป็นมิตรกับทุกคน
  • เคารพถึงความแตกต่างและหลากหลายภายในชุมชน
  • อย่าด่วนสรุปหรือตีความ
  • เข้าร่วมกิจกรรมกับชุมชนอย่างสม่ำเสมอ
  • ให้เด็กเป็นสื่อสานสัมพันธ์ชุมชน
  • เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร
  • เที่ยวตลาดชุมชนเพื่อเห็นถึงหลากหลายสินค้า ผู้คน และเรื่องราวของชุมชน
  • ไปร่วมกิจกรรมกับวัดในชุมชน

การปฏิบัติตนเมื่ออยู่ในชุมชน

ทุกคนที่จะเข้าพื้นที่ศึกษาชุมชนต้องเรียนรู้เพื่อการปรับตัวร่วมกับชุมชนให้ได้ เช่น
  • คำนึงถึงค่านิยมของชุมชน
  • ระมัดระวัง ข้อห้าม หรือ สิ่งต้องห้ามในชุมชน
  • ตัวเป็นผู้เรียนรู้ ไม่ควรทำตัวเป็นผู้รู้
  • คงไว้ซึ่งความเป็นคนนอกชุมชน (out-sider)
  • เรียนรู้ภาษาถิ่น
  • เรียนรู้วัฒนธรรมการกินการอยู่
  • การดำรังชีวิตของชุมชน
  • เรียนรู้กิจกรรมชุมชนทุกครั้งที่มีโอกาส
  • เรียนรู้การใช้ชีวิตในชุมชน

ข้อพึงระวังในการเข้าพื้นที่ชุมชน

  • ควรรู้จักและคำนึงถึงกาลเทศะหรือความเหมาะสมของเวลาและสถานที่ เช่น ควรรู้ว่าสถานที่ใดถ่ายภาพได้หรือไม่ได้ บริเวณใดที่เป็นที่ห้ามเข้า
  • การวางตัวที่เหมาะสมของเพศชายและเพศหญิงที่แสดงออกถึงความสนิทสนมมากเกินไป แต่ต้องคำนึงถึงบรรทัดฐานของสังคมนั้นๆ
  • ไม่ควรสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกับคนต่างเพศซึ่งอาจถูก
  • เข้าใจผิดไปในทางชู้สาวได้
  • การใช้คำพูด ภาษาที่มีความแตกต่างวัฒนธรรม คำบางคำอาจใช้กันอย่างปกติในวัฒนธรรมหนึ่ง แต่อาจเป็นคำที่เป็นไปในทางลบของอีกวัฒนธรรมหนึ่ง
  • การทำตัวเด่นเกินไป เป็นเรื่องที่ควรระวังให้มาก การเข้าชุมชนนั้น ควรวางตัวให้เหมาะสมกับการเป็นนักศึกษา มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่คุยโวโอ้อวดและทำตัวเด่นเกินจำเป็น
  • หากพบความขัดแย้งในพื้นที่จะต้องไม่เลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ให้วางตัวเป็นกลาง


การออกจากชุมชน

การออกจากชุมชนดูเหมือนจะเป็นเทคนิคที่ทำได้ง่าย แต่ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติงานชุมชนมักละเลยให้ความสำคัญหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์เมื่องานเสร็จก็ออกไปจากชุมชนโดยไม่มีเทคนิคที่เหมาะสม ซึ่งในความเป็นจริงผู้ปฏิบัติงานจะต้องรักษาความสัมพันธ์เดิมกับชุมชนไว้ หลักการที่สำคัญของการออกจากชุมชน คือ ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการออกจากชุมชน กล่าวลาในที่ประชุมของหมู่บ้าน จะทำให้การออกจากชุมชนมีความนุ่มนวล เหมาะสม ตามหลัก ไปลา มาไหว้ และสง่างาม 

มีเครืื่องมือศึกษาชุมชนที่กำหนดให้นิสิตได้เลือกใช้เพิ่มเติมอีก ๗ ชิ้น ที่คิดค้นโดย นพ.โกมาตร จึงสเถียรทรัพย์  จะขอนำมาให้ศึกษาในบันทึกต่อไป (หรืออาจสืบค้นได้ทั่วไปไม่ยากเลย)

เอกสารอ้างอิง
โกมาตรจึงเสถียรทรัพย์และคณะ. (๒๕๔๕). วิถีชุมชน. กรมการพัฒนาชุมชน  คู่มือการปฏิบัติงานพัฒนาชุมชนสำหรับการพัฒนา  หน้า ๘๑
ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ. (๒๕๓๖) “วิธีการเก็บข้อมูลเพื่อเข้าใจสภาวะและการเปลี่ยนแปลงของชุมชน”  คู่มือการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่องานพัฒนา. ขอนแก่น: สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น
สัญญา สัญญาวิวัฒน์. (๒๕๒๕) การพัฒนาชุมชน. พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช
สุภางค์ จันทวานิช. (๒๕๓๖) “วิธีการเก็บข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ.” ใน คู่มือการวิจัยเชิง กรุงเทพฯ: สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น