วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2561

รายวิชาศึกษาทั่วไป : ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน ๑-๒๕๖๑ (๗) "การเขียนโครงการและรายงานผลการประเมินโครงการ"


ทักษะในการเขียนโครงการ การดำเนินโครงการ การทำงานเป็นทีม การประเมินผลโครงการ การรายงานผลโครงการ และการนำเสนอผลงาน เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับนิสิตรุ่นใหม่ในศตวรรษที่ ๒๑ การเรียนรู้ผ่านการทำโครงการด้วยการฝึกทำโครงการบริการหรือโครงการบริการชุมชนหรือสังคมจริงๆ จะทำให้นิสิตเกิดทักษะดังกล่าวเหล่านั้นในตนเอง

๑) ความหมายและความสำคัญของโครงการ

โครงการคืออะไร

โครงการ (Project) หมายถึง แผนหรือเค้าโครงตามที่กะกำหนดไว้ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๕๒  การเขียนโครงการ คือ การเขียนแผนงานหรือเค้าโครงของแผนปฏิบัติงานที่มีกำหนดระยะเวลาและขั้นตอนการดำเนินงานอย่างชัดเจนและรอบคอบ มีรายละเอียดที่สามารถสื่อสารกับผู้อนุมัติโครงการและผู้เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น  ชื่อโครงการ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ ผู้รับผิดชอบ กลุ่มเป้าหมาย ระยะเวลาดำเนินงาน วิธีการหรือแผนการดำเนินงาน แผนงบประมาณ การประเมินผลโครงการ เป็นต้น

ในปัจจุบัน การเขียนโครงการเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการพัฒนางาน โดยเฉพาะงานเชิงรุกที่มุ่งให้เกิดผลผลิตและผลลัพธ์ เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น  ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานตามวงจรคุณภาพ (Plan-Do-Check-Act; PDCA) ที่ใช้ในระบบการทำงานทั่วไป ดังนั้น ความสามารถในการเขียนโครงการเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำงานทั้งในหน่วยงานราชการและเอกชน นิสิตทุกคนจำเป็นต้องศึกษาและพัฒนาตนเองให้สามารถเขียนโครงการได้ด้วยตนเอง

ความสำคัญของโครงการ 

ความสำคัญเบื้องต้นของโครงการ ๕ ประการ ได้แก่ 
  • ๑) เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นมาเพื่อแปลงแผนงานให้เกิดผลในทางปฏิบัติ 
  • ๒) เพื่อแก้ปัญหา 
  • ๓) เพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาองค์กร 
  • ๔) เป็นเครื่องมือหรือตัวแทนที่ใช้ในการถ่ายทอดหรืออธิบายสิ่งที่เจ้าของโครงการต้องการดำเนินการ และ 
  • ๕) เป็นเครื่องมือในการบริหารงาน (เช่น ช่วยในการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจในการจัดสรรงบประมาณ) 
ความสำคัญของแต่ละโครงการ จะเป็นเหตุผลที่คนเขียนโครงการต้องนำมาเขียนในหัวข้อ "หลักการและเหตุผล" โดยเหตุผลหลัก ๆ ในการทำโครงการ คือ เพื่อแก้ปัญหาและเพื่อพัฒนา

๒) ประเภทของโครงการ

โครงการอาจแบ่งหรือจัดหมวดหมู่ได้หลากหลายแบบ เช่น แบ่งตามลักษณะกระบวนการดำเนินงาน ได้แก่ โครงการวิจัย โครงการพัฒนา โครงการวิจัยและพัฒนา หรือกำหนดเอาแผนงานเป็นเกณฑ์ ได้แก่ โครงการปกติ โครงการต่อเนื่อง โครงการพิเศษ เป็นต้น ไม่มีทฤษฎีกำหนดตายตัว เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาและสะดวกต่อการเขียนหลักการและเหตุผลของโครงการให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ขอแบ่งโครงการออกเป็น ๓ ประเภท ตามลักษณะเป้าหมาย ได้แก่ โครงการบนฐานนโยบาย โครงการบนฐานปัญหา และโครงการฐานความคิดสร้างสรรค์ (ผู้เขียน)

  • ๑) โครงการบนฐานนโยบาย (Policy-based Project) หมายถึง โครงการที่มีเป้าหมายเพื่อทำให้แผนงานของหน่วยงาน เช่น แผนกลยุทธ์ แผนปฏิบัติราชการประจำปี ฯลฯ บรรลุเป้าประสงค์ของแผน กล่าวคือ เป็นโครงการที่เกิดจากการแปลงแผนกลยุทธ์มาเป็นแผนปฏิบัติ สิ่งที่ได้คือ "แผนดำเนินการ" ซึ่งประกอบด้วยโครงการต่าง ๆ
  • ๒) โครงการบนฐานปัญหา (Problem-based Project) หมายถึง โครงการที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหา สำคัญว่าต้องมีการศึกษา สำรวจ และวิเคราะห์ปัญหาอย่างดี ให้ได้ปัญหาที่แท้จริง ปัญหาที่เข้าท่า เป็นสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาสำคัญ คือ เมื่อแก้ปัญหานั้นแล้วไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นตามมา โครงการบนฐานปัญหานี้ อาจแบ่งแยกย่อยไปอีกตามเป้าหมายเน้นของโครงการ ได้เป็น ๓ ประเภท (ผู้เขียน) ได้แก่
    • ๒.๑) โครงการเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะด้าน คือ โครงการที่มุ่งแก้ปัญหานั้น ๆ ให้ดีขึ้นในระยะเวลาไม่นาน โดยการลงมือทำเพียงครั้งเดียว เป็นโครงการระยะสั้น เช่น โครงการฝึกอบรม โครงการค่ายอาสาสร้าง หรือ โครงการบริการชุมชนและสังคม (Service-based Project) หรือ โครงการบริการวิชาการ ที่มุ่งแก้ปัญหาของชุมชนโดยการถ่ายทอดองค์ความรู้หรือเทคโนโลยี เป็นต้น
    • ๒.๒) โครงการเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ หรือเรียกว่า "โครงงาน" หรือ Project for Learning คือ โครงการที่มุ่งศึกษา ค้นคว้า เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้ทำโครงงานเอง มักใช้กับการเรียนการสอนในรายวิชาต่าง ๆ เพื่อฝึกฝนทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง
    • ๒.๓) โครงการเพื่อการศึกษาค้นคว้าองค์ความรู้ใหม่ หรือเรียกว่า "โครงการวิจัย" หรือ Research-based Project คือ โครงการที่มุ่งศึกษาค้นคว้าหาทางแก้ปัญหาที่กำหนดอย่างเป็นระบบ

๓) โครงการบนฐานความคิดสร้างสรรค์ (Creative-based Project) หมายถึง โครงการที่เกิดขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์ ผู้ต้องการทำโครงการมีฉันทะที่จะพัฒนาสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นใหม่ หรือนำสิ่งใหม่ๆ นำนวัตกรรม หรือมองไปในอนาคตและทำนายด้วยข้อมูลที่น่าเชื่อถือว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น จึงเขียนโครงการขึ้นเพื่อป้องกัน หรือสร้างสรรค์นวัตกรรมนั้น ๆ ขึ้น ฯลฯ

๓) การเขียนโครงการ

การเขียนโครงการของแต่ละหน่วยงานราชการอาจมีรูปแบบแตกต่างกันไป โดยฝ่ายที่รับผิดชอบเรื่องการจัดทำแผนงานและฝ่ายประกันคุณภาพของหน่วยงาน มักจะกำหนดรูปแบบและองค์ประกอบของโครงการขึ้นใช้ให้เป็นไปแนวทางเดียวกันภายในหน่วยงาน มหาวิทยาลัยมหาสารคามกำหนดรูปแบบและองค์ประกอบในการเขียนโครงการทั้งหมด ๑๔ ข้อ แต่บางข้อผู้เขียนได้พิจารณาแล้วว่าเป็นองค์ประกอบที่กำหนดขึ้นเพื่อวัตถุเฉพาะเกินไป เช่น เพื่อประโยชน์ในงานประกันคุณภาพเฉพาะด้าน ซึ่งยังไม่เกี่ยวข้องกับนิสิต จึงกำหนดองค์ประกอบของโครงการให้นิสิตได้ศึกษาจำนวน ๘ ข้อ ได้แก่
  • ๑. ชื่อโครงการ
  • ๒. ผู้รับผิดชอบโครงการ
  • ๓. หลักการและเหตุผล
  • ๔. วัตถุประสงค์/ตัวชี้วัดความสำเร็จและเป้าหมาย
  • ๕. กลุ่มเป้าหมายและระยะเวลาดำเนินงาน
  • ๖. วิธีการและแผนการดำเนินงาน
  • ๗. แผนงบประมาณ
  • ๘. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

โดยแต่ละองค์ประกอบมีแนวทางและเทคนิคการเขียนดังต่อไปนี้

1.3.1 การตั้งชื่อโครงการ


๓.๑) การตั้งชื่อโครงการ

การตั้งชื่อโครงการ ควรระบุให้ทราบถึงแนวทางปฏิบัติและความคาดหวังหรือผลตอบแทนจากการทำโครงการ ผู้อ่านอ่านแล้วถึงแนวทาง ทิศทางของโครงการ หรือบอกว่าเกี่ยวกับอะไร
  • ถ้าเป็นโครงการบนฐานปัญหา อาจเขียนได้ ๒ แบบ คือ 
    • ๑) เขียนแบบบอกปัญหา เช่น โครงการแก้ปัญหา หรือ 
    • ๒) เขียนแบบบอกทางแก้ไข เช่น โครงการชวนน้องอ่านหนังสือ โดยเขียนปัญหาอ่านไม่ออกอ่านไม่คล่องของน้องไว้ในหัวข้อหลักการและเหตุผล ฯลฯ
  • ถ้าเป็นโครงการบนฐานนโยบาย ควรเขียนให้สอดคล้องกับกลยุทธ์หรือนโยบายนั้นๆ เช่น โครงการส่งเสริมคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ฯลฯ
  • ถ้าเป็นโครงการบนฐานความคิดสร้างสรรค์ เขียนให้เห็นภาพฝันหรือภาพแห่งความสำเร็จจะดี เช่น โครงการสร้างโรงไฟฟ้าจากขยะ ฯลฯ
๓.๒) ผู้รับผิดชอบโครงการ

ผู้รับผิดชอบโครงการคือ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ต้องรับผิดชอบการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ และรวมถึงผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการ หากเป็นโครงการของหน่วยงาน มักเป็นหัวหน้างานที่ต้องรับผิดชอบสูงสุดในงานนั้น ๆ  ในบริบทของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน ซึ่งอาจาย์ผู้สอนจะแบ่งนิสิตออกเป็นกลุ่มย่อยๆ และมอบหมายให้จัดทำโครงการบริการวิชาการหรือโครงการบริการสังคม ผู้รับผิดชอบโครงการ คือสมาชิกทุกคนในกลุ่มย่อย

๓.๓) หลักการและเหตุผล

หลักการและเหตุผลคือส่วนสำคัญที่สุดที่จะสื่อสารกับผู้พิจารณาซึ่งมีอำนาจอนุมัติหรือไม่อนุมัติโครงการ ดังนั้นจะต้องเขียนแสดงให้เห็นประโยชน์และความสำคัญของโครงการ เพื่อโน้มน้าวความสนใจและรู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องอนุมัติโครงการนี้ หลักคิดในการเขียนเบื้องต้น คือ เขียนอย่างน้อย ๓ ประเด็น ได้แก่ 
  • ๑) ทำไมต้องทำ 
  • ๒) ทำอย่างไร (คร่าว ๆ พอเข้าใจพอสังเขป) และ 
  • ๓) ทำแล้วประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับคืออะไร ส่วนจะเพิ่มเติม เน้นย้ำให้ผู้อ่านสนใจและเชื่อถืออย่างไร สามารถเพิ่มเติมได้

ควรจะเขียนเป็น ย่อหน้าๆ ละประเด็น ย่อหน่าแรกเขียนให้ผู้อ่านเห็น "วิธีคิด" หรือ "กระบวนทัศน์" ย่อหน้าที่สอง เขียนให้เห็น "วิธีการ" หรือ "กระบวนการ" และย่อหน้าที่สาม เขียนให้เห็น "ผลลัพธ์" หรือ "ประโยชน์" ของโครงการ แต่ละประเภทของโครงการจะเขียนส่วนย่อหน้าแรกต่างกันตามเหตุผลว่า ทำไมต้องทำ ดังจะชี้ให้เห็น ดังนี้

การเขียนหลักการและเหตุผลสำหรับโครงการบนฐานนโยบาย
  • ย่อหน้าแรก ให้เขียนเกี่ยวกับนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ หรือแผนกลยุทธ์ ของหน่วยงาน ในทำนองว่า เป็นเหตุผลที่ทำให้ต้องจัดทำกิจกรรม/โครงการนี้ขึ้น เห็นความเป็นมาของการทำโครงการ
  • ย่อหน้าที่สอง ให้เขียนรายละเอียดพอสังเขปว่า จะทำอะไร? ที่ใหน? อย่างไร? ให้เข้าใจพอสังเขป เช่น จะเชิญใครมาเป็นวิทยากร มาบรรยายหรืออบรมเรื่องอะไร ด้วยเทคนิคอะไร ทำไมถึงน่าสนใจ เป็นต้น สรุปคือ เขียนให้เห็นหลักคิดและหลักปฏิบัติ หรือเห็นหลักการนั่นเอง
  • ย่อหน้าที่สาม ให้เขียนถึงผลที่คิดว่าจะเกิดขึ้นจากโครงการ เช่น ผลผลิตหรือผลลัพธ์เชิงพฤติกรรม ที่จะเกิดขึ้น หัวข้อนี้เสมือนการเอาหัวข้อ "วัตถุประสงค์" และ "ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ" มาเขียนเรียบเรียงเพื่อโน้มน้าวกระตุ้นความสนใจ ทำให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญ เห็นภาพแห่งความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น

การเขียนหลักการและเหตุผลสำหรับโครงการบนฐานปัญหา
  • ย่อหน้าแรก ให้เขียนปัญหา ที่มาของปัญหา และบริบทของปัญหา ผู้อ่าน ๆ แล้ว ให้ทราบว่า ปัญหาที่แท้จริงคืออะไร สาเหตุของปัญหานั้น ๆ คืออะไร มีบริบทปัจจัยอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง ควรจะเขียนให้ผู้อ่านรู้สึกว่า

-   เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ๆ
-   เป็นปัญหาที่สำคัญ มีผลกระทบกับผู้คนจำนวนมาก หรือเป็นต้นเหตุของปัญหาอื่น ๆ
-   ข้อมูลปัญหาที่เขียน มีการสำรวจ สืบค้น สังเคราะห์ หรือวิเคราะห์แล้ว
-   เป็นปัญหาที่ค้นพบ สำรวจ วิเคราะห์ โดยเจ้าโครงการเอง
-   แสดงข้อมูลเชิงสถิติ ตัวเลข แสดงให้เห็นความรุนแรง หรือมากน้อย ฯลฯ
  • ย่อหน้าที่สอง เขียนวิธีการจะแก้ปัญหานั้น อ่านแล้วให้รู้ว่าจะแก้อย่างไร ใช้ใครหรืออะไร ที่ไหน อย่างไร ... เขียนให้เห็นหลักคิดและหลักปฏิบัติ หรือเห็นหลักการนั่นเอง
  • ย่อหน้าที่สาม เขียนเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น บอกวิธีประเมินผลพอสังเขป

การเขียนหลักการและเหตุผลสำหรับโครงการฐานความคิดสร้างสรรค์

  • ย่อหน้าแรก เขียนถึงสิ่งที่เป็นเหตุจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้น อาจจะเป็นปัญหาหรือการมองปัญหาในมุมมองของตน หรือเป็นการค้นพบของตนเอง หรือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจ หรือแม้แต่เป็น (ประกาย) ความคิดของตนเองที่ "ปิ๊ง" ขึ้นมา หรือเป็นประสบการณ์ของตนเองที่ได้เรียนรู้จนตกผลึกมั่นใจ
  • ย่อหน้าที่สอง เขียนถึงรายละเอียดของความคิดสร้างสรรค์นั้นให้เห็นพอสังเขป ว่าจะทำอะไร อย่างไร ... เขียนให้เห็นหลักคิดและหลักปฏิบัติ
  • ย่อหน้าที่สาม เขียนถึงภาพความสำเร็จหรือผลที่จะได้รับจากการสร้างสรรค์งานนั้น ๆ

อย่างไรก็ดี วิธีการเขียนหลักการและเหตุผลที่เสนอมาข้างต้นนี้ เป็นเพียงทางเลือกเท่านั้น การเขียนหลักการและเหตุผล แท้จริงแล้วเขียนแบบใดก็ได้ กี่ย่อหน้าก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้เขียนและผู้อ่านโครงการนั้น จะกำหนดให้เห็นเป็นอย่างไร ขอให้เห็น "เหตุผล" และ "หลักการ"

๓.๔) วัตถุประสงค์/ตัวชี้วัดความสำเร็จ และเป้าหมาย

การเขียนวัตถุประสงค์โครงการ

วัตถุประสงค์ คือ สิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นเนื่องจากการดำเนินโครงการ ลักษณะที่ดีของวัตถุประสงค์ คือ ชัดเจน ทำได้จริง วัดประเมินได้ สามารถบอกเป้าหมายหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ชัดเจนเป็นรูปธรรม หากเป็นการพัฒนาคน ต้องระบุได้ว่าพฤติกรรมที่พึงประสงค์คืออะไร

"วัตถุ" คือวัตถุ สิ่งที่จับต้องได้ นับได้ มองเห็นเป็นรูปธรรม ส่วนคำว่า "ประสงค์" คือความต้องการ ดังนั้น คำว่า "วัตถุประสงค์" น่าจะแปลว่า ความต้องการอะไรที่จำต้องได้เป็นรูปธรรมจากโครงการ ... แต่แปลตามตัวแบบนี้ก็เกินไป เพราะโครงการส่วนใหญ่ ไม่ใช่สร้างวัตถุสิ่งของ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาสมรรถนะหรือความสามารถของคน จึงขอให้ยึดหลักว่า วัตถุประสงค์ทุกข้อจะต้องวัดได้ ประเมินได้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จินดาพร จำรัสเลิศลักษณ์ ผู้ช่วยอธิกาบดีผู้ดูแลรับผิดชอบงานประกันคุณภาพการศึกษา เสนอหลักการเขียนวัตถุประสงค์ว่า ต้องมีลักษณะสำคัญ SMART คือ
-          Specific คือ มีความเฉพาะเจาะจงลงประเด็นเดียวในแต่ละข้อ
-          Measurable คือ ต้องสามารถวัดและประเมินผลสำเร็จได้
-          Attianable คือ ระบุถึงการกระทำที่สามารถปฏิบัติได้ บรรลุผลได้
-          Realistic คือ ต้องระบุให้มีความเป็นเหตุเป็นผลและสอดคล้องกับความเป็นจริง
-          Time bound คือ มีการกำหนดขอบเขตของเวลาที่จะกระทำให้สำเร็จได้อย่างชัดเจน
โดยวัตถุประสงค์สามารถแบ่งออกได้เป็น ๔ ระดับ ได้แก่
  • ระดับที่ ๑ ให้เขียนถึง "ผลผลิต" (Output) คือ สิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นทันทีหลังจบโครงการ ค่อนข้างมั่นใจว่าเกิดขึ้นแน่นอน และต้องสามารถประเมินได้ทันทีหลังจบโครงการ เป็นสิ่งที่ผู้ทำโครงการมีความมั่นใจว่าเกิดขึ้นแน่ ๆ เพราะเป็นวัตถุประสงค์หลักของโครงการ
  • ระดับที่ ๒ ให้เขียนถึง "ผลลัพธ์" (Outcome) คือ การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เป็นความคาดหวังของโครงการที่อยากให้เกิดขึ้น เช่น ทักษะ ความสามารถ หรือศักยภาพ หรือเจตคติ ฯลฯ
  • ระดับที่ ๓ ให้เขียนถึง "ผลพลอยได้" (By-product) หรือประโยชน์ทางอ้อมที่สำคัญและมีคุณค่าที่สุดที่จะเกิดขึ้นจากโครงการ
  • ระดับที่ ๔ (ถ้ามี...ในกรณีเป็นโครงการต่อเนื่องหรือโครงการระยะยาว) ให้เขียนถึง "ผลกระทบ" (Impact) คือสิ่งที่จะเป็นผลตามมาจากโครงการ หรือผลที่เกิดขึ้นต่อจากการมีผลผลิตนั้น ๆ

วัตถุประสงค์จะเขียนกี่ระดับก็ได้ แต่ทุกข้อที่เขียนจะต้องวัดผลและประเมินผลได้ จำนวนวัตถุประสงค์ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไปจนทำให้ความสำคัญของโครงการน้อย วัตถุประสงค์ควรจะครอบคลุมสาระสำคัญของโครงการ

ตัวชี้วัดความสำเร็จและเป้าหมาย

หลักการสำคัญในการเขียนตัวชี้วัดความสำเร็จ คือ ต้องเขียนให้ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ สามารถบอกได้ว่าวัตถุประสงค์นั้นสำเร็จหรือไม่ และต้องกสามารถวัดได้จริงด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งหรือเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่ง ส่วนเป้าหมาย คือ เกณฑ์ที่กำหนดระดับความสำเร็จของแต่ละวัตถุประสงค์ ตัวชี้วัดความสำเร็จ อาจแบ่งเป็น ๒ หรือ ๓ ประเภทก็ได้

ถ้าแบ่งเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ 
  • ๑) ตัวชี้วัดเชิงปริมาณ คือตัวชี้วัดที่แสดงผลเป็นตัวเลข เช่น จำนวน ร้อยละ ระดับความสำเร็จ ระดับความพึงพอใจ เป็นต้น และ 
  • ๒) ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพ ที่บ่งบอกถึงคุณภาพและคุณค่าของสิ่งนั้น ๆ ซึ่งนำเสนอออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้

ถ้าแบ่งเป็น 3 ประเภท จะได้แก่ 
  • ๑) ตัวชี้วัดเชิงปริมาณ คือตัวชี้วัดที่สามารถนับได้ หรือ เป็นปริมาณเชิงกายภาพที่มีหน่วยวัด เช่น จำนวน ความยาว น้ำหนัก ระยะเวลา เป็นต้น 
  • ๒) ตัวชี้วัดเชิงปริมาณที่ใช้วัดสิ่งที่เป็นนามธรรม คือ ตัวชี้วัดที่สร้างเกณฑ์ให้สิ่งนามธรรมนั้นเป็นตัวเลข เช่น ระดับความพึงพอใจ ระดับคุณธรรม ระดับความโปร่งใส ฯลฯ และ 
  • ๓) ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพ คือ ตัวชี้วัดไม่ใช่เชิงปริมาณ ไม่มีหน่วยวัดใด ๆ แต่ใช้การวัดเทียบกับค่าเป้าหมายที่เป็นเกณฑ์ในลักษณะพรรณนา หรือเป็นคำอธิบายของเกณฑ์ซึ่งจะช่วยในการใช้วิจารณญาณของผู้ประเมิน เช่น การมีคุณค่ากับสถาบัน ศักยภาพของผู้เข้าอบรม ฯลฯ

ตัวอย่างตัวชี้วัดความสำเร็จและเป้าหมายเชิงปริมาณ เช่น
-          จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของกลุ่มเป้าหมาย
-          ระดับความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมาย ไม่น่อยกว่า 3.51 คะแนน (คะแนนเต็ม 5.00)
-          จำนวนผู้ผ่านการทดสอบความรู้ความเข้าใจเรื่อง.......  ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
-          เป็นต้น
ตัวอย่างตัวชี้วัดความสำเร็จและเป้าหมายเชิงคุณภาพ เช่น
-          กลุ่มเป้าหมายมีเจตคดีที่ดีต่อการ...............
-          เกิดประโยชน์ที่มีคุณค่าต่อชุมชน
-          ได้รับการยอมรับจากชุมชน 
-          เป็นต้น

๓.๕) กลุ่มเป้าหมาย/ระยะเวลาดำเนินการ/สถานที่ดำเนินโครงการ

กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มคนผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการ การเขียนต้องระบุประเภทของกลุ่มคนให้ชัดเจนพร้อระบุจำนวนที่แน่นอน เนื่องจากข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้ในการคำนวณในการทำแผนงบประมาณโครงการ ตัวอย่างการเขียนกลุ่มเป้าหมายเช่น
-          กลุ่มแม่บ้านทอเสื่อกกบ้านดอนมัน จำนวน 50 คน
-          ครูโรงเรียนบ้านขามเฒ่า จำนวน 5 คน
-          ชาวบ้านหมู่ที่ 3 บ้านห้วยซัน จำนวน 20 คน
-          เป็นต้น
กลุ่มเป้าหมายจะแตกต่างจากกลุ่มตัวอย่าง การทำโครงการบริการวิชาการหรือโครงการพัฒนาต่างๆ มักกำหนดเป็นกลุ่มเป้าหมาย ส่วนโครงการวิจัยหรือโครงการสำรวจมักจะกำหนดกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ถือเป็นตัวแทนของ “ประชากร” หรือกลุ่มคนที่ต้องการจะศึกษาทั้งหมด

ระยะเวลาดำเนินโครงการ
ให้ระบุวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดโครงการ เช่น
-          วันเริ่มโครงการ  24 สิงหาคม 2560 วันสิ้นสุดโครงการ 30 สิงหาคม 2561

สถานที่ดำเนินโครงการ
ให้ระบุสถานที่ พื้นที่ ที่ตั้ง หรือที่อยู่ ที่กระบวนการดำเนินโครงการจะเกิดขึ้น เช่น
-          บ้านดอนนา ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
-          อาคารพลศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
-   เป็นต้น 


๓.๖) วิธีการดำเนินโครงการและแผนการดำเนินงาน

วิธีการดำเนินโครงการ

ให้เขียนวิธีการและขั้นตอนของการดำเนินงาน โครงการประเภทโครงการบนฐานปัญหาหรือโครงการแก้ปัญหา ควรจะแบ่งวิธีการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
  • ระยะต้นน้ำ เริ่มตั้งแต่การสำรวจปัญหา การกำหนดปัญหา การศึกษาปัญหา การกำหนดวิธีการการแก้ไข การวางแผนงาน และการสร้างเครื่องมือประเมินผลโครงการต่าง ๆ
  • ระยะกลางน้ำ เริ่มจากดำเนินโครงการตามแผนงานที่วางไว้ ควรจะแบ่งเป็นขั้นตอนต่างๆ ให้ชัดเจน และกำหนดบทบาทหน้าที่ของแต่ละคนแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน เช่น กำหนดผู้รับผิดชอบหลักในแต่ละขั้นตอน เป็นต้น
  • ระยะปลายน้ำ เป็นการประเมินผลการดำเนินโครงการ ซึ่งเน้นไปที่ผลประโยชน์ที่คาดว่ากลุ่มเป้าหมายจะได้รับ และองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ รวมถึงการสร้างสื่อและการนำเสนอองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดี เพื่อเผยแพร่ให้เป็นประโยชน์ต่อไป

แผนการดำเนินงาน

การเขียนแผนการดำเนินงาน เป็นเหมือนการสรุปวิธีการดำเนินงานลงในตาราง แสดงแผนการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน โดยนำเอาขั้นตอนการทำงานที่สำคัญๆ ทั้งหมดหัวเรื่องวิธีการทำงาน มาเขียนในคอลัมน์ แล้วใช้ลูกสอนหรือเส้นสัญลักษณ์แสดงช่วงระยะเวลาที่จะดำเนินงานขั้นตอนนั้นๆ ดังตัวอย่าง


ที่
ขั้นตอน/กิจกรรม
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561
ต.ค.
พ.ย.
ธ.ค.
ม.ค.
ก.พ.
มี.ค.
เม.ย.
พ.ค.
มิ.ย.
ก.ค.
ส.ค.
ก.ย.
1
ประชุมเตรียมสำรวจ
 











2
ลงพื้นที่สำรวจชุมชน

 










3
กำหนดปัญหา/ชุมชน


 









4
เขียนเค้าร่างโครงการ/ขออนุมัติโครงการ


 









5
ดำเนินโครงการ






 





6
………………………












๓.๗) แผนงบประมาณ

การเขียนแผนงบประมาณถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในการเขียนโครงการบนฐานนโยบาย ที่มีแผนงบประมาณของหน่วยงานกำหนดไว้ โดยเฉพาะการเขียนโครงการในหน่วยงานราชการ การเขียนแผนงบประมาณถือเป็นปัจจัยกำหนดว่า การดำเนินโครงการและการสรุปโครงการจะราบรื่นหรือไม่ แผนงบประมาณที่ชัดเจน จะทำให้การจัดเก็บเอกสารข้อมูลและหลักฐานการเงินเป็นไปอย่างมีระบบ ดังนั้นผู้เขียนโครงการจำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับระเบียบด้านการเงินและฝึกตนเองให้มีความรอบคอบถี่ถ้วนในการบันทึกค่าใช้จ่าย  ตัวอย่างแผนงบประมาณในโครงการบนฐานนโยบายแสดงดังตารางด้านล่าง

งบรายจ่าย -รายการ
งบประมาณ (บาท)
ค่าใช้จ่ายภายในประเทศ

1. ค่าตอบแทนวิทยากร 
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561  จำนวน 2 คน  จำนวน 3 ชั่วโมง  (2 คน x 600 บาท x 3 ชั่วโมง)

3,600
2. ค่ารับรองวิทยากร
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน  2561     จำนวน 2 คน 

800
6. ค่าอาหารกลางวัน
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561         (130 บาท x 110 คน x 1 มื้อ)      

14,300
7. ค่าอาหารว่าง
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561         (30 บาท x 110 คน x 2 มื้อ)      

6,600
8. จ้างพิมพ์เกียรติบัตร  จำนวน 100 แผ่น (แผ่นละ 5 บาท x 100 แผ่น)
500
รวม
25,800

จะเห็นว่า การตั้งงบประมาณระบบราชการในการจัดโครงการ จำเป็นต้องระบุว่า ต้องการจ่ายค่าอะไร วันที่เท่าใด ราคาต่อหน่วยเท่าไหร่ จำนวนกี่คน (ซึ่งจำเป็นต้องสอดคล้องกับจำนวนกลุ่มเป้าหมายของโครงการ) คิดเป็นงบประมาณรวมในแต่ละรายการเท่าใด รวมเป็นเงินทั้งสิ้นเท่าใด

๓.๘ ผล/ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

ส่วนนี้สำคัญมาก เพราะผู้อ่านโครงการจะให้ความสนใจว่า ผู้เขียนโครงการมั่นใจถึงความสำเร็จของโครงการอย่างไรบ้าง ถ้าผลที่คาดว่าจะได้รับไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ นั่นแสดงว่าผู้ขออนุมัติโครงการไม่เข้าใจ และถ้ามีวัตถุประสงค์แต่ไม่มีในผลที่คาดว่าจะได้รับ นั่นแสดงว่า ผู้ขออนุมัติโครงการไม่มั่นใจว่าจะเกิดขึ้น

ให้เขียนผลที่จะเกิดตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ให้เห็นเป็นรูปธรรมที่สุด ให้ระบุผลผลิต ผลลัพธ์ หรือผลพลอยได้ ตามวัตถุประสงค์แต่ละข้อ โดยนำเอาผลการประเมินตัวชี้วัดความสำเร็จ ที่วัดด้วยเครื่องมือต่าง ๆ เช่น แบบสอบถาม แบสัมภาษณ์ แบบทดสอบ ฯลฯ มาเขียนรายงาน เป็นข้อ ๆ

1.2 การประเมินผลโครงการ


1.2.1 ความหมายและประเภทของการประเมินโครงการ

๔) การประเมินโครงกร

๔.๑) ความหมายและประเภทของการประเมินโครงการ

มีผู้ให้ความหมายของ "การประเมินโครงการ" ไว้มากมาย ท่านที่สนใจ สามารถสืบค้นได้จากงานเขียนวิทยานิพนธ์หรือเล่มงานวิจัยทางศึกษาศาสตร์ ได้ไม่ยาก หลังจากอ่านหลายๆ ความหมาย สามารถสังเคราะห์ให้ครอบคลุ่มที่สุดได้ดังนี้

การประเมินผลโครงการ หมายถึง กระบวนการค้นหา รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูล แล้วพิจารณาตัดสินความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ความคุ้มค่า คุณค่า และการพัฒนาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการให้ดีขึ้นต่อไปหรือตัดสินใจยุติโครงการ
ประเภทของการประเมินโครงการมีหลากหลายแบบ สาระสำคัญที่น่าสนใจคือ การแบ่งประเภทของการประเมินตามเวลาการลงมือประเมิน ซึ่งแบ่งได้เป็น ๓ ประเภท ได้แก่
  • การประเมินก่อนดำเนินโครงการ (Preliminary Evaluation) โดยควรประเมิน ๒ ลักษณะ ได้แก่ 
    • การประเมินความต้องการหรือความจำเป็น (Needs Assessment) และ
    • การประเมินความเป็นไปได้ (Feasibility Study) เพื่อนำสารสนเทศที่ได้ไปประกอบการตัดสินใจในการทำแผนหรือปรับแผนการดำเนินโครงการ
  • การประเมินระหว่างการดำเนินโครงการ (On going Evaluation) เป็นการประเมินความก้าวหน้าหรือการพัฒนาของโครงการ (Formative Evaluation) ว่า เป็นไปตามแผนของโครงการหรือไม่ มีปัญหาหรืออุปสรรคอย่างไร
  • การประเมินเมื่อโครงการสิ้นสุด (Pay-off Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อผลรวมสรุป (Summative Evaluation) หลังจากการดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว เป็นการประเมินความสำเร็จของโครงการตามตัวชี้วัดหรือวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เช่น การประเมินผลผลิต (output) ผลลัพธ์ (Outcome) หรือ ผลกระทบ (Impact) อันเป็นผลมาจากโครงการ

๔.๒) เครื่องมือประเมินโครงการ

เครื่องมือประเมินโครงการ คือ เครื่องมือในการศึกษา ค้นหา รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้เป็นสารสนเทศในการตัดสินใจ ตัดสินคุณค่า ความคุ้มค่า หรือการพัฒนาของโครงการ เช่น แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึก แบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบวัดความพึงพอใจ รายงานโครงการ และรวมถึง การถอดบทเรียน ฯลฯ ไม่เครื่องมือใดดีที่สุดสำหรับทุกโครงการ ผู้ประเมินต้องเลือกใช้อย่างเหมาะสม หรือจะดีที่สุดคือ ออกและสร้างเครื่องมือด้วยตนเอง ซึ่งจะมีกระบวนการสร้างอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งจะได้นำมาแลกเปลี่ยนในบันทึกต่อ ๆ ไป

สำหรับกิจกรรมนิสิต โครงการส่วนใหญ่เกิดจาก "จิตอาสา" และจุดมุ่งหมายสำคัญนอกจากวัตถุประสงค์ของแต่ละโครงการซึ่งจำเป็นต้องประเมินให้ครอบคลุมและครบถ้วนตามตัวชี้วัดและวัตถุประสงค์ทุกข้อแล้ว ทุกกิจกรรมยังมุ่งให้นิสิตฝึกฝนพัฒนาทักษะและภาวะผู้นำในตนเอง จึงควรต้องมีการประเมินผลการเรียนรู้ (Learning Evaluation) ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญก็คือ "การถอดบทเรียน" นั่นเอง

๔.๓) การเขียนรายงานผลการประเมินโครงการ

รูปแบบการเขียนรายงานผลการประเมินโครงการของแต่ละหน่วยงานหรือองค์กรอาจไม่เหมือนกัน และแตกต่างกันตามแต่ละประเภทของโครงการด้วย รูปแบบที่จะกำหนดให้นิสิตได้ฝึกเขียนรายงานการประเมินโครงการครั้งนี้ ปรับจากแบบฟอร์มการเขียนรายงานผลการดำเนินโครงการของกองบริการวิชาการและวิจัยของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และแบบฟอร์มการเขียนโครงการของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยตัดให้เหลือเฉพาะบางหัวข้อที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะการคิดและการเขียนสำหรับพัฒนาภาวะผู้นำของนิสิต มีองค์ประกอบทั้งหมด ๑๐ ข้อดังนี้

  • ๑) ชื่อโครงการ
  • ) ผู้รับผิดชอบโครงการ
  • ) หลักการและเหตุผล
  • ) วัตถุประสงค์ของโครงการ
  • ) ตัวชี้วัดความสำเร็จและเป้าหมาย
  • ) กลุ่มเป้าหมาย/ระยะเวลา/สถานที่ดำเนินโครงการ
  • ๗) ผลการดำเนินโครงการ
    • ให้เขียนรายงานกระบวนการดำเนินงานตามแผนดำเนินงานที่เขียนไว้ในโครงการตามลำดับเวลาและขั้นตอน โดยเขียนให้เห็นกระบวนการการดำเนินงานของแต่ละขั้นตอน ประกอบผลงาน ชิ้นงาน หรือภาพถ่าย โดยเน้นสอดคล้องกับการทำงานจริง ให้ยึดเอาขั้นตอนการทำงานจริง ๆ เป็นหลัก ดังนั้น ขั้นตอนการทำงานของแต่ละกลุ่มอาจแตกต่างกันได้ ตามกระบวนการทำงานเป็นของกลุ่ม
  • ๘) ผลการประเมินโครงการ
  • ๙) สรุปรายงานงบประมาณ
    • เขียนรายการและจำนวนเงินของแต่ละรายการ และรวมงบประมาณทั้งหมด  ในกรณีของโครงการเสริมการเรียนรู้โดยไม่ต้องแนบหลักฐานใดๆ เว้นแต่อาจารย์ผู้สอนจะกำหนดเพื่อให้ได้เรียนรู้วิธีการทางงบประมาณของหน่วยงานราชการไทย
  • ๑๐) รายชื่อผู้จัดทำรายงาน
    • ให้เขียนเฉพาะรายชื่อ ผู้มีส่วนในการเขียนสรุปรายงานและประเมินโครงการ  ไม่จำเป็นต้องมีรายชื่อนิสิตทุกคนในกลุ่ม และให้ผู้ทำหน้าที่เลขานุการ (ผู้รวบรวม เรียบเรียง) เป็นผู้ลงรายมือชื่อ  ร่วมกับหัวหน้าโครงการ

สุดท้ายนี้ ขอย้ำว่า รูปแบบการเขียนรายงานผลการประเมินโครงการนั้น ไม่มีรูปแบบตายตัว ขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงการและนโยบายของหน่วยงานนั้น ๆ จะกำหนด จึงขอให้ผู้อ่าน ศึกษาเอาหลักการ เทคนิค และคำนึงถึงเหตุผลของการเขียนในแต่ละครั้งเสมอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น