วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561

รายวิชาศึกษาทั่วไป : ๐๐๓๖๐๐๖ ภาวะผู้นำ ๑-๒๕๖๑ (๔) ทฤษฎี "ผู้นำ"

ครั้งที่ ๓-๔ ของชั้นเรียนรายวิชา ๐๐๓๖๐๐๖ ภาวะผู้นำ  เน้น Learning Outcome ไปที่ความจำเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับ "ผู้นำ" และ "ภาวะผู้นำ"  ผมถอดบทเรียนจากการฟังบรรยายของ ผศ.ดร.ธรินธร นามวรรณ หัวหน้าภาควิชาบริหารการศึกษา  ๑ ในทีมของผู้สอน  ท่านเน้นให้เห็นความแตกต่างระหว่าง ผุ้นำ (Leader) ชนชั้นนำ (Elite) ผู้บริหาร (Administrator) และผู้จัดการ (Manager)  ซึ่งมีคุณสมบัติดังรูป


นอกจากนี้ยังมีประเด็นความรู้ ที่นิสิตควรจดจำ (ชั่วคราวก็ไม่เป็นไร) ดังนี้ครับ

  • ผู้นำ =  พรสวรรค์ + สร้าง
  • ผู้บริหาร = สร้าง + ประสบการณ์
  • ผู้นำจะทำในสิ่งที่ควรทำ หรือ Do the right things.
  • ผู้จัดการ จะมุ่งสนใจไปที่ประสิทธิภาพสูงสุด ลงทุนน้อยได้ประโยชน์สุงสุด คือ ลงทุนน้อยที่สุดได้ผลตอบแทนมากที่สุด 
  • ผู้จัดการ จะทำในสิ่งที่เห็นว่าถูกต้อง หรือ Do the things right. 
  • ผู้บริหารที่ดี ต้องมีภาวะผู้นำ มีเมตตาธรรม ต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและความถูกต้อง เป็นนักคิด นักวิเคราะห์ มีการสร้างวิสัยทัศน์ มีทักษะในการตัดสินใจ รอบรู้และมีข้อมูลที่ทันสมัย ที่สำคัญคือ ต้องทำให้เกิดความสุขในองค์กร 
  • ผู้บริหารต้องบริหารองค์ประกอบสำคัญ 4MIT ให้ดี ซึ่งได้แก่
    • Man คือ คน
    • Money คือ การเงิน
    • Material คือ วัสดุ เครื่องมือ 
    • Management คือ การจัดการที่ดี
    • Information คือ สารสนเทศ ข้อมูล
    • Technology คือ เทคโนโลยี  นำเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างเหมาะสม 
  • ชนชั้นนำ (Elite) คือ คนจำนวนน้อยที่มีอำนาจซึ่งเกิดขึ้นจากความมั่งคั่ง ร่ำรวย มีตำแหน่งทางการเมือง ได้รับการยอมรับจากสังคมซึ่งเป็นคนส่วนมาก 
  • Elite หรือ ชนชั้นนำ  จัดเป็น  Leader is born. คือ คนที่เกิดในชนชั้นศักดินาต่างๆ  เป็นผู้นำที่สืบทอดต่อๆ กันมา
  • ผู้นำ (Leader) หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถ มีอิทธิพลเหนือคนอื่น ได้รับความเคารพนับถือ และความร่วมมือจากผู้ตาม 
  • French and Raven 1968 ได้แบ่งประเภทของอำนาจ (Power Taxonomy) ตามแหล่งที่มีได้ ๕ ประเภท ได้แก่
    • อำนาจในการให้รางวัล (Reward Power)
    • อำนาจในการบังคับ (Coercive Power)
    • อำนาจตามกฎหมาย (Legitimate Power)
    • อำนาจจากความเชี่ยวชาญ (Expert Power)
    • อำนาจจากการอ้างอิง (Referent Power)
สรุปแล้ว ความหมายและคุณลักษณะของผู้นำนั้นมีหลากหลายมาก ไม่ตายตัว จึงเกิดทฤษฎีการศึกษาผู้นำต่างๆ ขึ้นหลายทฤษฎี  ทฤษฎีที่หยิบมาสอนในรายวิชาภาวะผู้นำนี้ ที่นิสิตจำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าหาความหมาย อธิบาย และยกตัวอย่างได้ด้วยตนเอง มีดังนี้ 
  • ทฤษฎีคุณลักษณะผู้นำ (Trait Theory)
  • ทฤษฎีพฤติกรรมผู้นำ (Behavioral Theory)
  • ทฤษฎีผู้นำตามสถานการณ์ (Situational and Cotingency Leadership Theories)
  • ทฤษฎีผู้นำเปลี่ยนสภาพ หรือ ผู้นำการเปลี่ยนแปลง หรือ ทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงปฏิรูป (Transformational Leadership Theories)
นิสิตสามารถสืบค้นและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ไม่ยากเลย .... ถามอากู๋เถิด

รายวิชาศึกษาทั่วไป : ๐๐๓๖๐๐๖ ภาวะผู้นำ ๑-๒๕๖๑ (๓) ทฤษฎีภาวะผู้นำ (ถอดบทเรียนจาก ผศ.ดร.กานจน์ เรืองมนตรี)

การจัดการเรียนรู้ครั้งที่ ๓ และครั้งที่ ๔ ของรายวิชา ๐๐๓๖๐๐๖ ภาวะผู้นำ  เน้น Learning Outcome แบบรู้จำ เกี่ยวกับ "ผู้นำ" และ "ภาวะผู้นำ" บรรยายโดย ผศ.ดร.ธรินธร นามวรรณ และ ผศ.ดร.กานจน์ เรืองมนตรี ซึ่งสอนโดยให้ท่านทั้งสองสลับกันบรรยายประมาณ ๑ ช.ม. ก่อนที่ ผมและ ผศ.ดร.พีระศักดิ์ วรฉัตร จะช่วยกันอำนวยให้เกิดการเรียนรู้แบบตื่นตัว (Active Learning) ก่อนจะสรุปเลิกคลาส

บันทึกนี้ขอนำเอา "ทฤษฎีภาวะผู้นำ" ที่นิสิตที่เรียนวิชานี้ควรรู้จำเพื่อจะได้รู้จักและนำไปใช้ได้ในการทำโครงการด้วยกันต่อไป



  • ภาวะผู้นำที่ท่านบรรยายในการเรียนการสอนวันนี้ มีวัตถุประสงค์ให้ได้
    • เรียนรู้จากทฤษฎี 
    • เรียนรู้จากผู้ใช้ทฤษฎี หรือเจ้าของทฤษฎี โดยวิเคราะห์ชีวประวัติหรือผลงาน 
    • แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ลป.ร.ร.) และนำเสนออภิปรายกัน 



  • ท่านเสนอสมการของภาวะผู้นำคือ   Leadership = Leader + Leading คือ ภาวะผู้นำ = ตัวผู้นำ + อาการนำ 
    • ภาวะผู้นำ คือ พฤติกรรมการนำของ "ตัวผู้นำ"   
    • ผู้นำคือ ตัวตน ตัวตนของคนที่เป็นผู้นำ  "ผู้" คือประธานของการกระทำ
    • หากมีเฉพาะ "ตัวผู้นำ" แต่ไม่ได้แสดงอาการแห่งการนำ หรือพฤติกรรมการนำ ก็ถือว่า ไม่มีภาวะผู้นำในขณะนั้น 
    • หากมีแต่ "อาการนำ" มีแต่ "พฤติกรรมการนำ" แต่ไม่รู้ว่า ใครคือ "ผู้นำ" ก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นภาวะผู้นำ
    • ดังนั้น การศึกษาต่อไปนี้จึงเป็นการศึกษาคำสองคำคือ "ผู้นำ" และ "่อาการนำ" นั่นเอง  


  • โดยจะเริ่มตั้งแต่ ความหมายของผู้นำ เป็นเบื้องต้น 
  • ทฤษฎีภาวะผู้นำต่างๆ ได้แก่
    • ผู้นำตามวิวัฒนาการ
    • ผู้นำตามสถานการณ์
      • ผู้นำตามสถานการณ์ของฟีดเลอร์ (Fiedler Countingency Theory)
      • ผู้นำตามสถานการณ์ของเฮอร์เซย์และบลานชาร์ด (Hersey & Blanchard 's Situational Theory)
    • ผู้นำไปสู่เป้าหมายของ House & Mitchell (Path- Goal Theory)
    • ผู้นำแบบมีส่วนร่วมของ Vroom and Jago  
  • การพัฒนาภาวะผู้นำ 
  • วิธีการพัฒนาภาวะผู้นำ 

๑) ผู้นำ

  • Leader คือ  ผู้นำหมู่คณะให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความปรารถนาดี ด้วยความเต็มใจ มีศรัทธาความเชื่อถือ ซึ่งแตกต่างกับการบังคับบัญชา


  •  ความแตกต่างของผู้นำจากบุคคลทั่วไป ได้แก่
    • ผู้นำจะมีความพยายาม (Drive) ...  ตอนนี้กระแสเรื่องนี้คือ GRIT
    • ผู้นำจะมีความปรารถนาที่จะนำ (Desire to Lead) 
    • ผู้นำจะมีความซื่อสัตย์และมั่นคง (Honest and Integrity)
    • ผู้นำจะมั่นใจในตนเอง (Self-confidence)
    • ผู้นำนั้นฉลาด (Intelligence) 
    • มีความรู้เกี่ยวกับงานนั้นๆ (Job-relevant knowledge)


  •  ผู้นำโดยทั่วไป อาจแบ่งได้เป็น ๔ อย่าง ได้แก่ 
    • ผู้นำแบบเผด็จการ 
    • ผู้นำแบบมีส่วนร่วม 
    • ผู้นำแบบประชาธิปไตย
    • ผู้นำแบบเสรีนิยม 


  • แสดงว่าผู้นำมีได้หลากหลายแบบ ตั้งแต่ผู้นำเป็นศูนย์กลางของทั้งหมด ยึดเอาความต้องการของตนเองเป็นสำคัญ ไปถึงผู้นำแบบเสรีนิยม ที่ปล่อยให้สมาชิกของกลุ่มตัดสินใจทุกอย่าง 
ผมนึกถึงผู้นำ ๙ แบบ ที่ รศ.ดร.พชรวิทย์ จันทร์ศิริสิร ที่เคยถอดบทเรียนตอนท่านมาบรรยายครั้งก่อนโน้น (อ่านได้ที่นี่)

๒) ภาวะผู้นำ


  • Griffin บอกว่า ภาวะผู้นำ หมายถึง ความสามารถในการใช้อิทธิพลต่อคนอื่น
  • Gibson และทีมบอกว่า ภาวะผู้นำ หมายถึง ความพยายามที่จะใช้อิทธิพลเพื่อจูงใจบุคคล เพื่อทำให้เกิดการบรรลุตามเป้าหมาย



  • Certo บอกว่า ภาวะผู้นำ หมายถึง กระบวนการในการควบคุมคนอื่น เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ 
  • Robbins บอกว่า ภาวะผู้นำ หมายถึง ความสามารถที่มีอิทธิพลต่อกลุ่ม เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
ผมเคยถอดบทเรียนเรื่อง ความหมายและลักษณะของภาวะผู้นำจากหนังสือของ รศ.ดร.พชรวิทย์ จันทร์ศิริสิร ไว้ที่นี่  ... ที่น่าสนใจคือ  ชื่อของเจ้าของทฤษฎีต่างๆ ไม่ค่อยซ้ำกัน ... ยิ่งยืนยันว่า แล้วแต่ใครจะมองจะเขียนจริงๆ 

๓) ทฤษฎีภาวะผู้นำ

๓.๑) ทฤษฎีภาวะผู้นำตามวิวัฒนการ


  • แบ่งออกเป็น ๔ ทฤษฎี ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านคุณลักษณะ ด้านพฤติกรรม ด้านสถานการณ์ และด้านบูรณาการ 
๓.๑.๑) ทฤษฎีเชิงคุณลักษณะ



  • คือเรียนรู้ผู้นำจากการ "ดู" ด้านคุณลักษณะ 
    • ดูคุณลักษณะทางร่างกาย เช่น อายุ รูปร่าง ส่วนสูง หรือน้ำหนัก ฯลฯ  เมื่อพิจารณาจากผู้นำต่างๆ ที่เคยมีมา จะพบว่า  ลักษณะเหล่านี้ไม่ใช่ตัวชี้วัดของผู้นำ
    • ดูภูมิหลังทางสังคม เช่น ครอบครัว การศึกษา สถานภาพทางสังคม หรือความคล่องตัว ... เหล่านี้ก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดผู้นำโดยเด็ดขาด
    • ดูสติปัญญา  ความสามารถ ดุลยพินิจ ความรู้ ความเด็ดขาด การพูดคล่องแคล่ว  ... ข้อนี้ต่างหากที่เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของผู้นำ 



      • ดูบุคลิกภาพ เช่น ความกระตือรือร้น ความเป็นตัวของตัวเอง ความสนใจ ความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ 
      • ดูคุณลักษณะทางงาน เช่น การต้องการความสำเร็จ ความรับผิดชอบ การริเริ่ม ความเพียร ความใจกล้า การมุ่งงาน ฯลฯ
      • ดูคุณลักษณะทางสังคม เช่น ดูความนิยม ความดึงดู ความร่วมมือ ความมีเกียรติ ความมีไหวพริบ การชอบสังคม เป็นต้น 


    • วิธี "ดู" อาจดูได้ ๒ แบบ คือ 
      • ดูทั้ง ๖ ด้านนั้น เปรียบเทียบกันระหว่าง คนที่เป็นผู้นำ และ คนที่ไม่ได้เป็นผู้นำ 
      • ดูทั้ง ๖ ด้านนั้น เปรียบเทียบกันระหว่าง ผู้นำที่ประสบผลสำเร็จ และผู้นำที่ไม่ประสบผลสำเร็จ


    • แต่การดูด้วยทฤษฎีนี้ มีผู้แย้งว่า การ "ดู" คุณลัษณะนั้น ไม่สามารถหาคุณลักษณะที่ดีที่สุดที่จะนำไปใช้ให้เหมาะสมกับททุกสถานการณ์ได้ 
    ๓.๑.๒) ทฤษฎีเชิงพฤติกรรม



    • ขอนำเสนอ ๓ กรณี ได้แก่ การศึกษาของมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท (Ohio State Studies) ระบบการบริหารของไลเคิร์ท (Likert's system of Managment) และแบบจำลองกริดของการบริการ (Management grid model)  


    • การศึกษาของโอไฮโอสเตท มองไปที่ ๒ แบบ คือ 
      • แบบ "มุ่งคน" คือ เน้นความใกล้ชิดทางจิตใจระหว่างผู้นำผู้ตาม 
      • แบบ "มุ่งงาน" คือ เน้นกำกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างกระตือรือร้น เพื่อที่จะทำงานให้สำเร็จ
    • ทำให้สามารถแบ่งภาวะผู้นำออกเป็น ๔ แบบ  ได้แก่ 
      • มุ่งคนต่ำ มุ่งงานต่ำ .. บริหารแบบปล่อยตามสบาย
      • มุ่งคนต่ำ มุ่งงานสูง ... บริหารแบบมุ่งประสิทธิภาพงาน
      • มุ่งคนสูง มุ่งงานต่ำ ... บริหารแบบบันเทิงสโมสร 
      • มุ่งคนสูง มุ่งงานสูง ... 


    • แนวคิดนี้สามารถลงรายละเอียดในการวิเคราะห์โดยใช้กริด (Grid) ดังสไลด์ด้านบน โดยสื่อสานผ่านภาพหรือคู่อันดับ เช่น (1,9), (9,1) เป็นต้น 






    • (๕,๕) มุ่งงานปานกลาง มุ่งคนปานกลาง ... บริหารแบบทางสายกลาง ... ผมชอบอันนี้ 
    • (๙,๙) มุ่งงานสูงและมุ่งคนสูงด้วย  ... บริหารแบบทำงานเป็นทีม  
    ๓.๑.๒) ทฤษฎีการเป็นผู้นำตามสถานการณ์


    •  ดูที่ องค์ประกอบ ๓ ประการได้แก่
      • ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับสมาชิก ... ดูว่า ดี หรือ ไม่ดี
      • โครงสร้างงาน ... ดูว่า ชัดเจน หรือไม่ ชัดเจน
      • อำนาจในตำแหน่ง ... ดูว่า มาก หรือ น้อย 


    • ความสัมพันธ์ดี โครงสร้างชัดเจน สถานการณ์เอื้ออำนวยมาก แม้จะมีอำนาจมากหรือน้อย  ผู้นำแบบมุ่งงาน จะส่งผลการดำเนินงานดีกว่า
    • ความสัมพันธ์ดีแต่โครงสร้างไม่ชัดเจน หรือความสัมพันธ์ไม่ดีแต่มีโครงสร้างงานชัดเจน ถือว่า สถานการณ์เอื้ออำนวยปานกลาง ผู้นำแบบมุ่งคนจะมีผลการดำเนินการดีกว่า 
    • ความสัมพันธ์ไม่ดี โครงสร้างงานไม่ชัดเจน  ถือว่า สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย  


    •  Hersey & Blanchard แบ่งภาวะผู้นำออกเป็น ๔ รูปแบบ คือ 
      • ผู้นำแบบสั่งงาน (Telling : S1)
      • ผู้นำแบบชักจูง (Selling : S2)
      • ผู้นำแบบมีส่วนร่วม (Participation : S3)
      • ผู้นำแบบมอบหมายงาน (Delegating : S4) 


    •  Hersey & Blanchard แบ่ง ผู้ตาม ออกเป็น ๔ กลุ่ม เช่นกันตามวุฒิภาวะ (Maturity) ซึ่งหมายถึงความสามารถ และความสมัครใจ (Willingness) ในการทำงาน ได้แก่
      • ไม่มีความสามารถ ไม่สมัครใจ (M1)
      • ไม่มีความสามารถ สมัครใจ (M2)
      • มีความสามารถ ไม่สมัครใจ (M3)
      • มีความสามารถ และสมัครใจ (M4) 


    • หากผู้ตามเป็น M1 ให้นำแบบ S1 โดดๆ เลย คือสั่งงานโดยไม่ต้องชักจูง
    • หากผู้ตามเป็น M2 ให้นำแบบ S1 และ S2  คือ สั่งงานและชักจูง
    • หากผู้ตามเป็น M3 ให้นำแบบ S4 โดดๆ เลย คือ มอบหมายงานโดยไม่ต้องให้มีส่วนร่วม
    • หากผู้ตามเป็น M4 ให้นำแบบ S3 และ S4  คือ ทั้งมอบหมายงานและให้มีส่วนร่วม


    • ผู้ตาม ความสามารถต่ำ ไม่สมัครใจ ต้องได้ผู้นำแบบ สั่งการ ควบคุม นิเทศ ตรวจตราอย่างใกล้ชิด
    • ผู้ตามความสามารถต่ำ สมัครใจ ต้องได้ผู้นำแบบ สั่งการ และจูงใจ คือ ทั้งออกคำสั่ง ควบคุม นิเทศพร้อมกับการให้คำแนะนำ อำนวยความสะดวก สนับสนุน คอยเป็นพี่เลี้ยงให้ 
    • ผู้ตามความสามารถสูง ความใส่ใจงานต่ำ ต้องได้ผู้นำแบบมีส่วนร่วม คอยให้คำชม ให้กำลังใจ รับฟัง คอยช่วยสนับสนุน อำนวยความสะดวกและร่วมตัดสินใจ 
    • ผู้ตามความสามารถสูง ความใส่ใจงานสูง สามารถนำแบบมอบหมายงานได้ ให้เกียรติ ให้ความเชื่อถือ ไว้วางใจ ในความรู้ความสามารถและความรับผิดชอบ จึงกระจายงานให้ทำอย่างอิสระ และให้ตัดสินใจเองโดยไม่เข้าไปก้าวก่าย 


    •  ภาวะผู้นำแบบวิถีทางสู่เป้าหมาย จะต้องทำสิ่งต่อไปนี้
      • กำหนดเป้าหมาย
      • ทำวิถีทางให้ชัดเจน
      • เคลื่อนย้ายอุปสรรค
      • ให้การสนับสนุน


    •  เพิ่มแรงจูงใจแก่ผู้ตาม


    •  ทฤษฎีวิถีทางสู่เป้าหมาย มีองค์ประกอบ ๔ ประการ ได้แก่
      • พฤติกรรมผู้นำ
      • คุณลักษณะส่วนบุคคลของผู้ตาม
      • คุณลักษณะของงาน
      • การจูงใจ 


    •  บทบาทของผู้นำตามทฤษฎีนี้เน้นทำ ๒ อย่างคือ 
      • ทำให้วิถีทางชัดเจน ... เห็นเป้าหมายชัด 
        • กำหนดเป้าหมายให้ผู้ตามเห็นชัด
        • แจ้งบทบาทในงานให้ชัด
        • ทำให้ผู้ตามได้รับความรู้และความมั่นใจเพิ่มขึ้นว่างานจะสำเร็จ
      • การเพิ่มรางวัล
        • เรียนรู้เกี่ยวกับความต้องการของผู้ตาม
        • จัดรางวัลที่ผู้ตามต้องการ โดยให้เข้าคู่กับผลงานที่ทำได้ 
        • เพิ่มคุณค่าของผลงานให้แก่ผู้ตามมากขึ้น 


    •  ทฤษฎีวิถีทางสู่เป้าหมาย แบ่งภาวะผู้นำออกเป็น ๔ แบบ ได้แก่
      • แบบสนับสนุน 
      • แบบสั่งการ
      • แบบมุ่งความสำเร็จ
      • แบบให้มีส่วนร่วม


    • ถ้าผู้ตามมีความต้องการด้านความรักใคร่สูง ผู้นำควรเป็นสนับสนุน
    • ผู้ตามประเภทหัวดื้อรั้น ให้ใช้ภาวะผู้นำแบบสั่งการ


    •  ลักษณะของงาน เป็นอีกตัวแปรที่ส่งผลต่อภาวะผูนำที่เหมาะสม 


    •  สรุปแล้ว สถานการณ์ที่แตกต่าง ต้องการภาวะผู้นำที่แตกต่าง 

    • ผู้นำเผด็จการ จะใช้การตัดสินใจแบบใช้อำนาจ ตัดสินใจก่อนแล้วค่อยแจ้ง


    • การตัดสินใจแบบปรึกษาหารือ เป็นการตัดสินใจโดยผู้นำเพียงคนเดียว แต่ตัดสินในภายหลังจากได้การปรึกษาหารือ ดูข้อมูลต่างๆ ก่อน


    • การตัดสินใจด้วยกลุ่ม สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วม มีการลงมติกัน จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกยอมรับเหตุผลและการตัดสินใจของกลุ่มในท้ายที่สุด 


    • การพัฒนาภาวะผู้นำ เป็นกระบวนการขยายความสามารถของบุคคลทั้งด้านการนำและการบริหารงาน  
      • เป็นการพัฒนาความสามารถของบุคคลแต่ละบุคคล


      • เป็นการพัฒนาประสิทธิผลในบทบาทของผู้นำและกระบวนการนำ
      • บุคคลทุกคนสามารถพัฒนาความสามารถการเป็นผู้นำได้


    •  MacCauldy เสนอวิธีการพัฒนาภาวะผู้นำ ๔ วิธี ได้แก่
      • การเรียนรู้จากการทำงาน 
      • เรียนรู้จากคนอื่น 
      • เรียนรู้จากความผิดพลาด
      • เรียนรู้จากการฝึกอบรม



    •  แนวปฏิบัติที่ดีของการพัฒนาภาวะผู้นำด้วย ๔ วิธีข้างต้น ให้ใช้สัดส่วน เรียนรู้จากการลงมือทำ:เรียนรู้จากผู้อื่น:เรียนรู้จากการฝึกอบรม ควรเป็น 70:20:10






    • คนแต่ละยุคสมัยเปลี่ยนไป ดังนั้น ภาวะผู้นำต้องเปลี่ยนไปด้วย  


    •  การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงกำลังมา ... ท้าทายการพัฒนาภาวะผู้นำอย่างยิ่ง



    • ทักษะใหม่ๆ ที่ผู้นำสมัยใหม่ต้องมี ได้แก่
      • ทักษะเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ตาม คือ ฉับไวต่อความรู้สึกของกลุ่ม
      • ทักษะด้านการสื่อสาร สื่อความหมาย
      • ทักษะในสมภาพ หรือความเสมอภาค 
      • ทักษะในการจัดการ จัดดำเนินงาน 
      • ทักษะในการตรวจสอบตัวเอง 

    • ผศ.ดร.กานจน์ ท่านเน้นย้ำก่อนจะเริ่มบรรยายว่า สิ่งที่เรา (ผู้กำลังพัฒนาภาวะผู้นำ) ควรจะเรียนรู้ ก็คือ การเรียนรู้จากผู้นำสำคัญของโลก 


    •  ท่านแต่งหนังสือไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๙  สืบค้นได้ในสำนักวิทยบริการ  ท่านแต่งกลอนเกี่ยวกับคุณลักษณะที่ดีของผู้นำได้ ดังสไลด์  ซึ่งผมจับประเด็นได้ ๑๐ ข้อ ได้แก่
      • มีคุณธรรม
      • บุคลิกองอาจ
      • มีเชาว์ปัญญา ไม่ขลาดเขลา
      • มีสติ 
      • กล้าตัดสินใจ
      • สม่ำเสมอ
      • สุขุม
      • สุจริต
      • ยุติธรรม
      • รับฟังคนอื่น
    • ตอนท้ายของการบรรยาย ท่านเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาตนเองให้นิสิตเป็นผู้มีบุคลิกภาพการเป็นผู้นำที่ดี ดังสไลด์ต่อไปนี้ 

     








    • สุดท้ายท่านจบการบรรยายด้วย การเน้นย้ำ ดังต่อไปนี้ 
      • ผู้นำ Do the things right.  คือ ทำสิ่งต่างๆ ให้ถูกให้ควร   ผู้บริหารเพียง Do the right things. คือ ทำสิ่งที่ถูก
      • Leader is made. ความเป็นผู้นำ สามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นได้ 
    • ผู้นำที่ดีต้องมี คารวะธรรม ปัญญาธรรม และ สามัคคีธรรม  (ศ.ดร.สาโรจ บัวศรี)