เทคนิคการสอนแบบมืออาชีพ
ผมมีความเห็นว่า ประเด็นนี้อาจารย์ทั่วโลกล้วนมี "ปัญญาปฏิบัติ" เป็นของตนเอง ซึ่งแตกต่างหลากหลายสุดประมาณ ในมุมหนึ่งไม่มีทางที่จะ Internalize -> Externalize ให้เป็นความรู้สำเร็จรูปได้เลย แต่ในอีกมุมหนึ่งศาสตราจารย์ "ผู้รู้" ก็ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ทั้งด้านศาสตร์และศิลป์การสอนอย่างมืออาชีพไว้แล้วโดยพิสดาร ศาสตราจารย์ นพ. วิจารณ์ ได้บันทึกตีผลงานของ Prof. Linda B. Nilson ผู้ก่อตั้ง Office of Teaching Innovation and Effectiveness ของ Clemson University ไว้ในชื่อบันทึกชุด "สอนอย่างมือชั้นครู" ไว้โดยละเอียดยิ่งแล้ว (คลิกที่นี่) และยังมีการรวมเล่มเป็นหนังสืออีกต่างหากครับ (ดาวน์โหลดได้ที่นี่)
ดังนั้น ผมจึงขอเสนอว่า เราควรจะปรับกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จะเดิมที่เราจะมีเวลาเล่าเรื่องกันเพียงท่านละไม่เกิน ๑๐ หรือ ๑๕ นาที ควรจะเพิ่มเวลาเป็นท่านละ ๓๐ นาที หรือ ๑ ชั่วโมง ซึ่งในทางปฏิบัติคงทำไม่ได้ จึงควรจะมีทีมกรรมการสกัดคัดเลือกเอา GP (Good Practice) (หรือให้ทีมฟาไปหาและถอดบทเรียนอย่างละเอียดเพื่อนำมาทำเอกสารแจกในงาน) แล้วเน้นให้ท่านได้ใช้เวลานำเสนออย่างเต็มที่และละเอียด ประกอบเครื่องมือและแสดงชิ้นงานหรือผลงานเชิงประจักษ์ให้เห็น เพื่อเป็นแนวปฏิบัติและแรงบันดาลใจให้เพื่อนอาจารย์นำไปใช้
ต่อไปนี้เป็น ๓๓ วิธีสอนอย่างมือชั้นครู ที่ผมได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้ ผมคิดว่า อาจารย์ที่สนใจและกำลังสอนนิสิตนักศึกษาของท่านอย่างเต็มที่อยู่แล้ว เพียงแค่อ่านหัวข้อก็คงเก็ตอ๋อทันทีโดยไม่ต้องอ่านต่อ ... จึงขอนำเอาเฉพาะประเด็น "เทคนิค" มาแลกให้ท่านเห็น
๑) อาจารย์ต้องเข้าใจศิษย์และเข้าใจวิธีเรียนของศิษย์
- เริ่มทำความเข้าใจจากจุดที่เป็นสภาพปัจจุบันของนิสิต ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้พื้นฐาน แต่รวมถึง สภาพจิตใจ ความเชื่อ สไตล์ชีวิต ปัญหา ข้อจำกัด ฯลฯ
- แสดงความกระตือรือร้นและหลงไหลต่อรายวิชาที่ตนจะสอน (สภาพจิตแบบนี้ซึมไปสู่นิสิตได้)
- ลดการบรรยาย ในยุคนี้ การตลุยบรรยายต่อเนื่องถึง ๕๐ นาที เป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ เพราะธรรมชาติของผู้เรียนในยุค Gen Z เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว การสอนยุคนี้ต้องเป็นแบบ Active Learning ต้องเปิดโอกาสให้นิสิต Reflection และออกแบบให้เขาได้เรียนรู้ด้วยการลงมือทำเอง ค้นเอง Experiential Learning
- นิสิตยุคนี้ชอบอะไรเจ๋งๆ ใหม่ๆ เร้าอารมณ์ อาจารย์ต้องหาวิธีกระตุ้นแรงบันดาลใจ อารมณ์ ท้าทาย ทำให้เป็นเรื่องราวดราม่า (Dramatic) สนุก ขบขัน แปลกใหม่ รื่นเริง ตื่นเต้น บีบหัวใจ อาจใช้สถานการณ์จริง เกม สื่อไอที มัลติมีเดีย และกลยุทธ์ต่าง เช่น บทบาทสมมติ Role Playing เรียนรู้ผ่านการบริการชุมชน Service Learning เผชิญและแก้ไขปัญหา Problem-based Learning หรือให้ทำโครงการสร้างสรรค์ผ่าน Project-based Learning
- อาจารย์ต้องเข้าใจว่านิสิตปี ๑ ปี ๒ (หรือบางคน ปี ๓ ปี ๔) ยังเป็น "ผู้เยาว์" ในด้านการเรียนรู้ อาจารย์ต้องเน้นสอนให้เขาเกิดพัฒนาการด้านการเรียนรู้ใน ๔ ขั้นตอนของ William G. Perry ต่อไปนี้
- ให้รู้จักเปรียบเทียบ
- ให้รู้ว่ามันมีความไม่แน่นอน
- ให้รู้ว่าความไม่แน่นอนนั้นเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่ยอมรับได้
- ให้รูว่าสิ่งที่ควรยึดถือ (ชั่วคราว) นั้นเป็นทฤษฎีที่ดีที่สุดที่มี
- อาจารย์ต้องออกแบบและสร้างกระบวนการให้นิสิตใต่ระดับการรับรู้ ๔ ระดับ ตามทฤษฎีของ Baxter Magolda ได้แก่
- รู้อย่างอิสระ
- รู้แบบสัมบูรณ์ อะไรคือข้อเท็จจริง
- รู้แบบเป็นทางผ่าน
- รู้แบบผูกอยู่กับบริบทหรือเงื่อนไข จะจริงหรือไม่จริงภายใต้เงื่อนไขหรือบริบทใด
- ศาสตราจารย์ William G Perry บอกว่า หากแบ่งระดับการรับรู้ออกเป็น ๙ ตำแหน่ง
- นิสิตปี ๑ จะอยู่ตำแหน่งที่ ๑ มองโลกแบบ ขาว-ดำ สองขั้ว (Dualistic)
- ตำแหน่งที่ ๒ มองโลกเป็นแบบพหุลักษณ์ (Multiplicity)
- ตำแหน่งที่ ๓ เริ่มเข้าใจความไม่แน่นอน
- ตำแหน่งที่ ๔ เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่รู้นั้นเป็นสิ่งสมมติ มองโลกแบบสัมพัทธ์ (Relativism)
- ตำแหน่งที่ ๕ รู้ว่าทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติ ความรู้เป็นสิ่งสัมพัทธ์
- ตำแหน่งที่ ๖ จะมองหาความเชื่อมของตน เนื่องจากเริ่มสับสนกับความไม่แน่นอน
- ตำแหน่งที่ ๗ ยึดถือความรู้หนึ่งในบางเรื่อง
- ตำแหน่งที่ ๘ นำเอาความรู้นั้นไปทดลองใช้ในบริบทของตนเองต่างๆ
- ตำแหน่งที่ ๙ เข้าใจว่าใจที่เปิดกว้างและรับรู้และเรียนรู้สรรพสิ่งเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- อาจารย์ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญกับการพานิสิตนักศึกษาพัฒนาการเรียนรู้นี้ เพราะแม้นิสิตจะมีสมองดี แต่หากพัฒนาการด้านการเรียนรู้นี้ต่ำ จะทำให้ล้มเหลวในการเรียน
- นิสิตนักศึกษาในศตวรรษที่ ๒๑ แตกต่าง หลากหลาย อาจารย์ต้องจัดการเรียนรู้สำหรับคนทุกจริตมาเรียนพร้อมๆ กัน .... ผมนึกถึงจริต ๖ ในคำสอนในพุทธศาสนา
๒) ออกแบบรายวิชาโดยเอาผลลัพธ์การเรียนรู้เป็นหลัก (Outcom-central course design)
- ให้เขียนผลลัพธ์การเรียนรู้ในมุมมองของนิสิตนักศึกษา สมมติตนเองเป็นนักศึกษาที่มาเรียน
- ให้แบ่งผลลัพธ์ออกเป็น ๓ ส่วน ได้แก่
- ผลที่สามารถวัดได้ ให้เขียนเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เขียนให้เป็นคำกิริยา
- เงื่อนไขของผลลัพธ์นั้น ว่าจะทำได้ในสถานการณ์ใด
- เกณฑ์ในการวัด
- ให้แบ่งชนิดของผลลัพธ์การเรียนรู้เป็น ๕ ชนิด ได้แก่ (ตรงกับ มคอ.๓ เราเป๊ะ)
- ด้านการคิด หรือ พุทธิพิสัย (Cognetive)
- ด้านทักษะพิสัย (Psychromotor)
- ด้านจิตพิสัย (Affective)
- ด้านจริยธรรม (Ethical)
- ด้านสังคม (Social)
- หรืออาจมองในอีกมุมหนึ่ง ที่แบ่งผลลัพธ์การเรียนรู้เป็น ๖ แบบ ได้แก่
- ความรู้พื้นฐาน (Fundamental Knowledge)
- การประยุกต์ (Application)
- บูรณาการ (Integration)
- มิติความเป็นมนุษย์ (Human Dimension)
- การเอาใจใส่ (Caring)
- เรียนรู้วิธีเรียนรู้ (Learning How to Learn)
- ชนิดของผลลัพธ์ด้านพุทธิพิสัย ให้ยึดเอาตามทฤษฎีลำดับการรู้ของบลูม (Bloom's Taxonomy) ได้แก่
- จำได้ (Remember)
- เข้าใจ (Understand)
- ประยุกตใช้ (Apply)
- วิเคราะห์ได้ (Annaly)
- ประเมินได้ (Evaluate)
- สร้างสรรค์ได้ (Create)
- ให้ออกแบบการเรียนรู้แบบถอยหลัง (Backward Design)
- สิ่งสำคัญคือ ต้องทำให้นิสิตนักศึกษาเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง
- ศาสตราจารย์ Linda B. Nilson เสนอว่า ควรจะมีข้อกำหนดในประมวลรายวิชา (หรือ มคอ.๓ ของเรา) ถึง ๓๖ ข้อ แบ่งเป็นข้อกำหนดพื้นฐาน ๒๓ ข้อ และข้อกำหนดด้านกฎหมายอีก ๑๓ ข้อ
- ข้อกำหนดพื้นฐาน ๒๓ ข้อ สอดคล้องอย่างดีกับ มคอ.๓ ที่เรามีเราทำ ที่แตกต่างและน่าสนใจ ได้แก่
- ข้อกำหนดเรื่องการคิดหรือไม่คิดเวลาเข้าชั้นเรียน
- ข้อกำหนดเรื่องการส่งการบ้านช้า ไม่ส่งการบ้าน ขาดสอบ
- ข้อกำหนดเรื่องทุจริต และความซื่้อสัตย์สุจริตในชั้นเรียน
- ข้อกำหนดเรื่องความเป็นระเบียบ
- ข้อกำหนดเรื่องการอภิปรายแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น
๔) วันแรกในชั้นเรียน
- อาจารย์ต้องใช้วันแรกในการสร้างความประทับใจ และความสนใจของรายวิชา
- สร้างความสนิทสนมระหว่างอาจารย์กับนิสิตนักศึกษา และระหว่างนิสิตนักศึกษาด้วยกัน
- ทำให้ชั้นเรียนมีบรรยายกาศเอาจริงเอาจัง วิธีการคือ
- แต่งกายเป็นทางการกว่าปกติเล็กน้อย
- ไปก่อนเวลาเริ่ม สร้างแนวทางความประพฤติ (Code of Conduct) ของนิสิตที่จะใช้ร่วมกันตลอดภาคเรียน
- จัดให้มีเอกสารประมวลรายวิชา ก่อนแจกเอกสารให้กล่าวคำที่แสดงความสำคัญของรายวิชาสัก ๒-๓ ประโยค
- แสดงท่าทางเอาจริงเอาจัง กระตือรือร้นตั้งแต่วันแรกของการเรียน
- บอกอย่างชัดเจนว่า อาจารย์คาดหวังอะไรจากนิสิตนักศึกษา
- ให้รายละเอียดต่อไปนี้ต่อนิสิตนักศึกษาให้ชัดเจนที่สุด
- จะมีการทดสอบอย่างไร
- คำถามทดสอบเป็นแบบไหน
- การทดสอบต้องการการคิดแบบไหน
- ต้องเตรียมตัวสอบอย่างไร
- จะมีการแจกสรุปประเด็นของการเรียนรหรือไม่
- จะมีช่วงเวลาสรุปประเด็นหรือไม่
- มีวิธีให้คะแนนการบ้านและการสอบอย่างไร
- มีหลักเกณฑ์ให้เกรดอย่างไร
- คำแนะนำต่อนิสิตในการทำเกรดสูง
- ทำ BAR ก่อนเรียน โดยแจกแบบสอบถามที่มีคำถาม ๖ ข้อให้นิสิตนักศึกษา ให้เขียนเป็นเวลา ๕ นาที แล้วให้จับกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ๑๕ นาที เวลาที่เหลือ ๒๐ นาที ให้เป็นการถาม-ตอบกับอาจารย์ โดยในแบบสอบถามให้มีคำถามปลายเปิดด้วย คำถาม ๖ ข้อคือ
- ท่านหวังอะไรจากวิชานี้
- อาจารย์จะช่วยให้ท่านบรรลุเป้าหมายนั้นได้อย่างไร
- กังวลเรื่องวิชานี้หรือไม่อย่างไร
- มีพื้นฐานความรู้ หรือ ต้นทุนอะไรบ้าง สำหรับรายวิชานี้
- ควรมีข้กำหนด เกี่ยวกับพฤติกรรมของนิสิตอย่างไรบ้าง เพื่อช่วยให้การเรียนบรรลุผลดี
- ปัจจัยอะไรที่ต้องมีในห้องเรียนหรือเกี่ยวกับอาจารย์ ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของท่าน
- ในกรณีที่เป็นชั้นเรียนขนาดไม่ใหญ่มาก ให้จดจำชื่อนิสิตให้ได้ อาจใช้เทคนิคต่อไปนี้
- จัดทำผังที่นั่ง จำได้แล้วค่อยให้อิสระ
- บันทึกลักษณะพิเศษของแต่ละคน เช่น อ้วน ผอม สูงโย่ง ฯลฯ
- ใช้การบัญชีรายชื่อ และขานชื่อ โดยเน้นเรียกแบบสุ่ม
- ให้นิสิตติดป้ายชื่อ
- ละลายน้ำแข็ง (Ice Breaking) ทำความรู้สึกกันด้านสังคม อาจใช้เกมหรือกิจกรรมทำให้รู้จักกัน เช่น
- แนะนำตนเอง ชื่อ นามสกุล ชื่อเล่น สาขาวิชา บอกเหตุผลที่มาเรียนวิชานี้ รวมถึงอาจให้บอกถึงความภูมิใจในตนเองด้านใดด้านหนึ่ง
- ให้สัมภาษณ์ ๓ ขั้นตอน ได้แก่ จับคู่สัมภาษณ์กัน แล้วให้แนะนำเพื่อนคู่ของตนต่อคนอื่น
- สำรวจห้องเรียน โดยการตั้งคำถามชั้นเรียน แล้วให้ยกมือ เช่น ใครเคยแต่งงาน ใครมาจากจังหวัด ใครมาจากภาค.... ใครเคยเรียนวิชานี้แล้ว.... ฯลฯ
- ใช้เกมตามล่าหาเป้าหมาย โดยอาจารย์แจกกระดาษเปล่า แล้วบอกลักษณะของเป้าหมาย เช่น เกิดเดือนเดียวกัน พูดได้สองภาษา ฯลฯ เมื่อพบแล้วก็ให้เขียนลงในกระดาษ
- เกมบิงโกมนุษย์ คล้ายกับตามล่าหาเป้าหมาย แต่แจกกระดาษหลายช่องเป็นตาราง แล้วให้ไปเดินถามหา ใครครบช่องก่อนให้ร้องว่า "บิงโก"
- เกมวงกลมแห่งความเหมือน (ความต่าง) โดยแจกกระดาษให้เขียนรูปวงกลมใหญ่ตรงกลาง ล้อมรอบวงกลมขนาดเล็กหลายๆ วง เช่น ๕ วง แล้วเขียนชื่อตนเองไว้ตรงกลาง และเขียนลักษณะของตนเองในวงกลมเล็ก เช่น เพศหญิง ชอบว่ายน้ำ ฯลฯ แล้วให้ไปหาคนที่เหมือนกันมากที่สุด
- ละลายน้ำแข้ง ทำความรู้จักกันด้วยเนื้อหาวิชา เพื่อทำให้นิสิตรู้ว่าเพื่อนคนใดที่มีความรู้ผิดๆ เรื่องใดบ้าง อาจใช้เทคนิคต่อไปนี้
- เทคนิคประเมินห้องเรียน โดยอาจให้ทำแบบทดสอบก่อนเรียนร่วมกันผ่านโทรศัพท์มือถือ Kahoot หรือ Polleverywhere ฯลฯ
- เทคนิคประกาศปัญหา โดยให้เขียนปัญหาลงบนกระดาษว่าตนคาดจะมีปัญหาในการเรียนอะไรบ้าง แล้วให้อาจารย์ทำหน้าที่เป็น Facilitator บันทึกปัญหาให้เห็นกันทุกคน ลงเป็นความถี่บนหน้ากระดาน และเปิดโอกาสให้นิสิตได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหานั้นๆ
- ก่อนจบวันแรก อาจารย์ควรแจกกระดาษ ให้นิสิตเขียนคำตอบของปัญหาเหล่านี้ส่งอาจารย์ก่อนจากกัน
- ความรู้ที่สำคัญที่สุดที่ท่านได้เรียนรู้วันนี้คืออะไร
- กระบวนการเรียนรู้ในวันนี้ ทำให้ความคาดหวังต่อวิชานี้เปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
- ท่านยังมีข้อสงสัย หรือข้อข้องใจเกี่ยวกับวิชานี้อย่างไร
๕) สร้างแรงจูงใจให้นิสิตนักศึกษา
- งานวิจัยบอกว่า อาจารย์สามารถสร้างแรงจูงใจภายในให้เกิดกับนิสิตได้ดังนี้
- แสดงความกระตือรือร้น หลงไหลในรายวิชานั้น
- จัดวัสดุการเรียนที่เหมาะสม
- จัดระบบของรายวิชาอย่างชัดเจน
- ยากง่ายพอเหมาะ
- จัดการเรียนรู้แบบ Active Learning
- สอนด้วยวิธีที่หลากหลาย
- อาจารย์เอาใจใส่ใกล้ชิด
- ให้ตัวอย่างที่เหมาะสม
- ให้ระวังสิ่งที่จะทำลายแรงจูงใจในการเรียน ๕ ประการ คือ
- ท่าทีและพฤติกรรมด้านลบของอาจารย์ (ส่งผลรุนแรง)
- โครงสร้างรายวิชาที่สับสน (ส่งผลรุนแรง)
- บรรยากาศการเรียนที่ไม่ดี
- เนื้อหาที่น่าเบื่อ หรือไม่เหมาะสม
- นิสิตไม่ชอบวิชานั้นอยู่ก่อนแล้ว
- สิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือ ต้องสร้างและรักษาความเป็นธรรมในห้องเรียนเสมอ
(ขอพักไว้ที่ข้อ ๕ ก่อนนะครับ วันหลังมีเวลาจะมาจับประเด็นให้เห็นต่อไปจนถึงข้อที่ ๓๓)
ผมมีความเห็นว่า ปัญญาปฏิบัติที่อ่านเข้าใจและนำไปใช้ได้เลยแบบที่กล่าวมานี้ คือเป้าหมายที่เราควรจะได้แลกเปลี่ยนกัน .... แต่เราไม่สามารถจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดบทเรียนได้แบบนี้ในเวที min-UKM เพราะเรามีข้อจำกัดด้านงบประมาณและกาลอันยุ่งเหยิงของชีวิตอาจารย์ยุคนี้ วิธีเดียวที่เราจะทำได้ก็คือ สร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมให้อาจารย์ถอดบทเรียนตนเอง แล้วเขียนบันทึกมาแลกกันอ่าน เมื่อกาลเหมาะเวียนมาถึง จึงไปแลกเปลี่ยนกันที่เวที mini-UKM...ท่านว่าไหมครับ
(ทีมฟากลุ่มที่ ๑ เทคนิคการสอนแบบมืออาชีพ กำลังทำ AAR กันหลังเวทีแลกเปลี่ยน )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น