๖) ระวังลิขสิทธิทางปัญญา
อาจารย์ต้องระมัดระวัง อย่าให้ถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิทางปัญญา การนำผลงานของผู้อื่นมาใช้ควรแบ่งพิจารณาสามารถนำมาใช้ได้ฟรี (Free Use) ตามหลัก ๓ ประการนี้หรือไม่
- ใช้งานตามปกติ (Fair Use) คือ ไม่ได้ใช้เพื่อผลทางธุรกิจ เช่น หากเอามาใช้ด้านการศึกษาก็ค่อนข้างจะปลอดภัย อย่างไรก็ควรต้องปรึกษาฝ่ายกฎหมายของมหาวิยาลัย
- ใช้ข้อเท็จจริง คือ นำเอาข้อเท็จจริงมาใช้ (แต่ตามมารยาทก็ควรจะกล่าวถึงผู้ค้นพบ)
- ใช้สิ่งที่อยู่ในพื้นที่สาธารณะ (Public Domain)
๗) ป้องกันห้องเรียนที่ไม่เป็นอันเรียน
- อาจารย์ต้องรูันิสัยและบุคลิกของตนเอง
- หากเป็นคนใจดี ต้องฝึกบุคลิกให้เป็นคนน่าเชื่อถือเคารพยำเกรงโดยแต่งกายที่เป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นทางการ วางน้ำเสียงและการพูดคุยให้น่าเชื่อถือ แต่ต้องไม่โม้โอ้อวด
- หากเป็นคนเข้มงวดและดุ ให้ฝึกบุคลิกให้เป็นคนเข้าถึงได้ง่าย ให้แต่งกายไม่เป็นทางการมากนัก ฝึกพูดให้เสียงนุ่ม แสดงท่าทีผ่อนคลาย ชวนคุยนอกเรื่อง เรื่องส่วนตัวบ้าง เพื่อให้เกิดความคุ้มเคย
- ให้อาจารย์กับนิสิตให้ทำกระบวนการต่างๆ ร่วมกัน คือ ก่อนเรียนให้ร่วมกันตั้งกติกาหรือข้อตกลงร่วมกัน โดยพิจารณาถึงผลประโยชน์ของผู้เรียนเป็นหลัก และเมื่อกำหนดแล้วก็ช่วยกันรักษาอย่างเอาจริงเอาจัง
- ระวัง !!!! กิริยามารยาทที่ไม่ดีของอาจารย์ คือตัวก่อพฤติกรรมไม่ดีของนิสิต เช่น หยาบคาย เสียดสี ลดตัวลงมาเล่นหัวกับนิสิต ไม่สนใจ ไม่ไวต่อความรู้สึก ไม่ยืดหยุ่น ในทางตรงข้าม ความสุภาพและพฤติกรรมดีต่างๆ ของอาจารย์จะสร้างพฤติกรรมดีของนิสิตได้
- ผลการศึกษาความเห็นของนักศึกษาในอเมริกาบอกว่า พฤติกรรมของอาจารย์ ๖ ประการต่อไปนี้ คือสิ่งที่อาจารย์ไม่ควรทำ
- เข้าห้องเรียนสาย
- ไม่อยู่ห้องตามเวลาที่บอก
- ดูถูกนักศึกษาว่าโง่
- ไม่รู้จักนักศึกษา
- พูดกับกระดานดำ ไม่พูดกับนักศึกษา หรือยืนบังข้อความบนกระดาน
- ไม่ดำเนินตามเอกสารรายวิชา
- และกล่าวถึงพฤติกรรมอื่นๆ ที่นักศึกษาไม่พึงประสงค์ ได้แก่
- ไม่เตรียมตัวสอน
- ไม่เป็นระบบระเบียบ
- สอนเข้าใจยาก
- ไม่กำกับดูแลชั้นเรียน
- บรรยายเร็วเกินไป
- พูดเสียงเบาและไม่มีจังหวะ ไม่มีการเน้น
- บรรยายแบบอ่านบันทึกการสอน
- สอนก่อนเวลาและเลิกช้า
- ไม่ตรวจการบ้าน
- ให้การบ้านมากเกินไป
- วันถัดมา (ครั้งถัดมา) หลังจากสร้างข้อตกลงร่วมกับนิสิตแล้ว อาจารย์ควรจะถามนิสิตกลับบ้างว่า ไม่อยากให้อาจารย์ทำอะไรบ้าง แล้วเอามาปรับเป็นแนวปฏิบัติสำหรับอาจารย์บ้าง
- พฤติกรรมสำคัญของอาจารย์ที่จะนำคุณประโยชน์มาสู่นิสิตไปตลอดชีวิตคือ การไม่ยอมรับผลงานที่ทำแบบชุ่ยๆ หรือผลงานคุณภาพต่ำ อาจารย์จะต้องบอกนิสิตอย่างชัดเจนว่า จะยอมรับเฉพาะผลงานที่มีคุณภาพเท่านั้น ไม่ยอมรับผลงานคุณภาพต่ำเด็ดขาด เพราะนั่นเป็นการสร้างนิสัยการทำงานชุ่ยๆ แบบขอไปที ไม่เป็นคุณต่อชีวิตระยะยาว
- เมื่อนิสิตคุยกัน ต้องระลึกไว้เสมอว่าสิ่งที่เราจะปฏิบัติใด ต้องเป็นไปเพื่อทำให้การรบกวนการเรียนเกิดขึ้นน้อยที่สุด
- วิธีหนึ่งคือให้อาจารย์หยุดพูด พร้อมยิ้มและมองไปยังนิสิตที่กำลังคุยกัน แสดงให้เห็นว่าเขากำลังทำผิดข้อตกลง
- หรืออาจเดินไปยังนิสิตที่กำลังคุยกันแล้วทำเป็นตลก โดยให้พูดแทนอาจารย์
- หรืออาจพูดว่า สิ่งที่อาจารย์กำลังพูดอยู่นี้เป็นเรื่องสำคัญและจะมีในข้อสอบ
- ฯลฯ
- เมื่อนิสิตมาสาย ต้องระลึกไว้เสมอเช่นกันว่า อะไรที่เราจะทำต้องเป็นไปเพื่อให้ห้องเรียนน่าเรียน การรบกวนการเรียนมีน้อยที่สุด
- ให้อาจารย์จัดการทดสอบมีคะแนนตอนเริ่มเรียนและก่อนเลิกเรียนเล็กน้อยเพื่อแก้ปัญหานิสิตออกจากห้องเรียนก่อนกำหนด
- หาโอกาสคุยนอกเวลากับนิสิตที่มาเรียนสาย อาจมีความจำเป็นบางประการ หรืออาจถามเพื่อนสนิท โดยเฉพาะนิสิตที่ดูเป็นคนดีและมาสายเรื้อรัง
- อาจารย์ต้องเริ่มสอนและเลิกตรงเวลา
- ฯลฯ
- เมื่อเจอนิสิตตั้งคำถามและโต้แย้งไม่ยอมจบ (คงพบน้อยมากในประเทศไทย)
- ให้รีบตัดบทแล้วกระซิบบอกให้มาคุยกับอาจารย์หลังเลิกเรียน
- ป้องกันพฤติกรรมนี้ได้โดยเปิดโอกาสให้เขียนคำถามใส่กล่องรับความคิดเห็นแล้วอาจารย์เลือกคำถามดีๆ มาตอบในชั้นเรียนถัดไป หรือเปิดโอกาสให้ส่งอีเมล์ถามโดยตรง
- ฯลฯ
- เมื่อเจอนิสิตตั้งคำถามเพื่อต้อนอาจารย์ให้เสียหน้า
- ให้นิสิตได้แสดงความเห็นของตนเอง แล้วถามถึงแหล่งอ้างอิง ก่อนจะเสนอความคิดเห็นของอาจารย์ พร้อมยืนยันด้วยหลักฐาน
- พลิกสถานการณ์ให้เป็นจุดประกายการเรียนรู้ร่วมกันของชั้นเรียน โดยตั้งคำถามที่ซับซ้อนในเรื่องเดียวกันให้นิสิตช่วยกันสืบค้นและแสดงความคิดเห็น
- ฯลฯ
- ขอให้อาจารย์แก้เกรด
- เรื่องการแก้เกรดอาจารย์ต้องตกลงกันให้ชัดเจนก่อนเริ่มเรียนว่า แก้ได้หรือไม่ หากแก้ได้ มีกรณีใดบ้าง ขั้นตอนเป็นอย่างไร
- การพูดคุยเรื่องแก้ผลการเรียนควรจะกำหนดแนวทางร่วมกัน โดยกำหนดให้เป็นกระบวนการที่เปิดเผย โปร่งใส ไม่เป็นความรับลับ ไม่ควรจะคุยกับนิสิตสองต่อสองคน
- ฯลฯ
- เมื่อนิสิตใช้โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ระหว่างเรียน
- การสั่งห้ามใช้โทรศัพท์ในยุคนี้ไม่น่าจะทำได้
- ให้ใช้วิธีสร้างข้อตกลงว่า เมื่อถึงเวลาที่่ครูเห็นว่าสำคัญจำเป็นต้องทำความเข้าใจ ให้ทุกคนหยุดใช้ก่อน หากไม่เข้าใจจะส่งผลต่อเนื้อหาถัดๆ ไป
- อาจารย์ต้องใช้ท่าทีที่แสดงให้เห็นว่า กำลังรักษาผลประโยชน์ของนิสิต ไม่ใช่แสดงอารมณ์ตอบสนองความประสงค์ของตนเอง
- ฯลฯ
- นิสิตขาดเรียน
- สาเหตุ ๓ ประการสำคัญที่ทำให้นิสิตขาดเรียนคือ
- ไม่เช็คชื่อ การขาดเรียนไม่มีผลต่อเกรด
- อาจารย์ไม่ได้เอาใจใส่ในการขาดเรียน
- มีเนื้อหาให้เรียนที่อื่นอยู่แล้ว
- วิธีการในสมัยนี้อาจต้องใช้หลายๆ มาตรการเช่น
- การทดสอบย่อยบ่อยๆ
- การสอบแบบถาม-ตอบ ให้แสดงความคิดเห็น แบบไม่มีผิดมีถูก
- แบ่งกลุ่มทำงานหรือทำโจทย์ หรือสอนโดยใช้กิจกรรมบ่อยๆ
- ศ.นพ.วิจารณ์ เสนอว่า หากเป็นการเรียนรู้ที่มุ่งผลลัพธ์การเรียนรู้เฉพาะตน ความรู้หรือทักษะที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ การขาดเรียนอาจจะได้รับการอนุโลมเป็นบางกรณีตามสไตล์การเรียนของตนเอง ท่านยกตัวอย่าง รศ.ดร.อนันตสิน เตชะกำพุช ซึ่งขณะเรียนคณะวิทยาศาสตร์ที่จุฬาฯ ด้วยกัน ท่านเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยเข้าเรียน แต่ก็สอบได้อันดับหนึ่งของชั้น จบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ได้ทุนอานันทมหิดลไปเรียนต่อปริญญาเอก ต่อมากลับมาเป็นหัวหน้าภาควิชาฟิสิกส์ จุฬาฯ
- เมื่อมีนิสิตแสดงความไม่เคารพ ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากทัศนคติต่อต้านผู้มีอำนาจของนิสิตเอง ซึ่งเป็นปัญหาภายในอารมณ์ของนิสิตเอง วิธีการที่ควรทำคือ
- หาโอกาสคุยเป็นการส่วนตัวเพื่อหาทางไม่ให้เกิดพฤติกรรมนั้นอีก
- แจ้งผู้รับผิดชอบของมหาวิทยาลัยให้พิจารณาเยียวยาทางจิต
- ฯลฯ
- อาจารย์ควรจะมีผู้ช่วยเหลือในการพัฒนาการเรียนการสอนในรูปแบบต่างๆ เช่น เพื่อนอาจารย์ นิสิตที่มีวุฒิภาวะ เพื่อนๆ ในสาขาวิชาชีพอื่นๆ ฯลฯ
ความซื่อสัตย์ในการเรียน
- งานวิจัยพบว่า ๒๐ ปีก่อน นักศึกษาในสหรัฐอเมริกายอมรับว่าพวกเขาเคยโกงการสอบ คิดเป็นสัดส่วน ๒ ส่วนใน ๓ ส่วน ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น ๓ ส่วนใน ๔ ส่วนในปัจจุบัน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น
- สาเหตุของการโกงคือ กระแสสังคมที่เชื่อว่า คนที่ประสบผลสำเร็จเพราะกล้าโกง คนที่ไม่กล้าโกงจะไม่ประสบผลสำเร็จ กระแสสังคมพัดไปในทางที่ทำให้คนเห็นแก่ตนเองเป็นหลัก
- การรับรู้ (Perception) ของนักศึกษาต่อการยอมรับของเพื่อนๆ เป็นปัจจัยสำคัญต่อสถิติการโกง หากเพื่อนๆ ยอมรับว่า ใครๆ ก็โกงกัน สถิติการโกงข้อสอบจะเพิ่มขึ้น
- การโกงจะเพิ่มมากขึ้น ในกรณีที่มีการเปิดช่องให้ (เช่น ไม่ตรวจสอบจริงจัง) และการลงโทษไม่ชัดเจน การโกงจะเกิดบ่อยขึ้นตามขนาดของชั้นเรียน
- อาจารย์ต้องเปลี่ยน "การรับรู้" ของนิสิต ไม่ให้เป็นไปตามกระแสสังคมดังกล่าว และเอาใจใส่ในการตรวจสอบนักศึกษา
- วิธีป้องกันการโกง ๓๕ วิธี ที่เสนอโดยศาสตราจารย์ Linda B. Nilson ได้แก่
- ส่งเสริมให้เรียนเพื่อรู้ ไม่ใช่เพื่อสอบ
- ทำให้นิสิตเข้าใจเรื่องการกงทางวิชาการและขโมยคัดลอกผลงาน ยกตัวอย่างประกอบ
- ระบุนโยบายและมาตรการเกี่ยวกับการโกงของสถาบันอย่างชัดเจนในเอกสารประกอบการสอน และพูดบ่อยซ้ำ ย้ำ ทวน
- ผู้สอนที่เป็นอาจารย์ผู้ช่วย หรืออาจารย์ที่อ่อนอาวุโส ให้พึงระวัง นิสิตมักเข้าใจว่าอาจารย์กลุ่มนี้ไม่สนใจเรื่องความซื่อสัตย์
- ออกข้อสอบใหม่ทุกครั้งที่สอบ
- เอาข้อสอบเก่าและการบ้านขึ้นเว็บไซต์เพื่อให้นิสิตทุกคนเข้าถึง
- จัดข้อสอบหลายๆ ชุด เรียงลำดับต่างกัน
- ย้ำเสมอเมื่อทดสอบว่า ความซื่อสัตย์เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ สถาบันเอาจริงเอาจังเรื่องนี้
- พึงตระหนักว่านิสิตส่วนใหญ่ ร่วมถึงนิสิตที่มีความประพฤติดี จะไม่ฟ้องเมื่อเห็นการโกง
- จัดโต๊ะสอบให้ห่าง ห้ามเอาสิ่งของโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือเข้าห้องสอบ
- กำหนดที่นั่งสอบ และให้เซ็นชื่อเลขที่นั่งสอบ
- จัดให้มีกระดาษทด ไม่ให้นำมาเอง
- เก็บเครื่องคิดเลขหรือเครื่องอิเล็คทรอนิกส์อื่นๆ ก่อนแจกข้อสอบ
- ถ้าอนุญาตให้นำหนังสือเข้าห้องสอบ ให้เก็บจากนิสิตแล้วแจกใหม่แบบสุ่ม ไม่ให้ใช้หนังสือของตนเอง
- ทีมคุมสอบต้องไม่ทำงานอื่นระหว่างการคุมสอบ
- ตรวจสอบโพยคำตอบในที่ต่างๆ เช่น ฝาโถส้วมในห้องน้ำ ที่ผิวหนังใกล้รูผุของกางเกงยินส์
- เก็บกระดาษคำตอบจากนิสิตทีละคน ไม่ให้เกิดความอลม่าน
- ตอนตรวจข้อสอบทำเครื่องหมายที่คำตอบที่ถูก และเขียนคะแนนหน้าข้อ
- ส่งกระดาษคำตอบคืนนิสิตเป็นรายบุคคล หรือส่งทางอินเตอร์เน็ต
- เก็บกระดาษคำถามคืนจากนิสิตทุกคน หากมีหลายชุด ให้เขียนชื่อนิสิตด้วย
- ระบุกติกาให้นิสิตในการทำงานร่วมกัน ในกรณีมีการเก็บคะแนนจากการมอบหมายงานนอกชั้นเรียน
- เปลี่ยนเอกสารชิ้นงานทุกปีการศึกษา เพื่อไม่ให้ลอกงานของนิสิตรุ่นก่อน
- ใช้เวลาในห้องเรียนในการอภิปรายประเด็นปัญหาของชิ้นงานที่มอบหมายและวิธีแก้ไข
- ระบุรูปแบบของผลงานนำเสนอและให้คะแนนส่วนใดบ้าง
- ระบุเงื่อนไขให้ใช้ความรู้จากหลายๆ แหล่งอ้างอิง เช่น จากตำรา จากเว็บไซต์ จากวีดีทัศน์ ฯลฯ
- สอนนิสิตว่าเมื่อไหร่ที่ต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของความรู้ และสอนวิธีอ้างอิง
- เตือนนิสิตว่าอาจารย์จะใช้ซอฟต์แวร์ตรวจสอบการขโมยหรือลอกเลียนผลงาน
- บอกให้ชัดล่วงหน้าว่า อาจารย์อาจสุ่มนิสิตมาสอบปากเปล่าว่าเข้าใจจริงหรือไม่
- สำหรับชิ้นงานขนาดใหญ่ อาจารย์ต้องจัดประชุมสอบถามความก้าวหน้า และให้โอกาสนิสิตได้ปรึกษา อาจารย์จะได้ประเมินความสามารถของนิสิต
- คอยให้คำแนะนำและประเมินผลงานนิสิตเป็นระยๆ โดยอาจให้เขียนรายงาน
- กำหนดให้นิสิตส่งร่างงานแรกก่อน เพื่อจะได้ตรวจสอบแนะนำตั้งแต่เนิ่น
- กำหนดให้นิสิตต้องส่งเอกสารอ้างอิงด้วย อย่างน้อยให้ส่งหน้าแรกของเอกสาร
- กำหนดให้นิสิตส่งงานพร้อมสำเนา ๑ ชุด สำหรับอาจารย์เก็บไว้ตรวจสอบ
- พยายามให้มีความชัดเจน ยุติธรรม โปร่งใส จริงจัง ในเรื่องการตรวจและการให้คะแนนชิ้นงาน
- หากพบว่ามีความไม่ซื่อสัตย์ ให้จัดการทันที กรณีไม่มีการบันทึกประวัติให้อาจารย์ลงโทษทันที กรณีที่ต้องสอบสวนให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร อย่างไรก็ดี ต้องปรึกษาหัวหน้าภาควิชาหรือคณบดี
- ควรมีการกำหนดกติกาแห่งเกียรติยศ ๓ แบบ ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า การมีกติกาแห่งเกียรติยศแบบใดแบบหนึ่ง โดยให้นักศึกษาลงลายมือชื่อรับ ทำให้การโกงลดลงถึง ๑ ใน ๔ ส่วน
- กติกาของสถาบัน ระเบียบต่างๆ
- กติกาของสถาบันร่วมกับนิสิตในการบังคับใช้
- กติกาของรายวิชาที่อาจารย์กำหนดหรือร่วมกับนิสิตกำหนดขึ้น
- ผลงานวิจัยบอกว่า นิสิตที่มีอายุน้อยกว่า รู้สึกผิดน้อยกว่าเมื่อกระทำการไม่ซื่อสัตย์ และคิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นไม่ผิด ร้อยละ ๒๔ บอกจะทำอีก ร้อยละ ๓๐ บอกไมแน่ใจ
- อาจารย์ต้องปลูกฝัง (หรือเปลี่ยนแปลง) ค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์ของนิสิต โดยทำให้ตระหนักถึงโทษของการไม่ซื่อสัตย์ ด้วยวิธีต่อไปนี้
- การทำให้นายจ้างคิดว่าคุณมีความรู้หรือทักษะ ทั้งที่จริงๆ แล้วคุณไม่มี จะก่อความเสียหายมากมายต่อสังคมและโลก
- ถ้าเรียนจบด้วยการโกงคุณก็ไม่มีความรู้และทักษะที่แท้จริง เมื่อไปทำงาน เพื่อนร่วมงานจะรู้ว่าสิ่งที่ระบุในใบปริญญาไม่เป็นจริง คุณค่าของปริญญาจะลดลง
- การโกงทำให้ขาดโอกาสที่จะได้รับคำปรึกษาจากอาจารย์
- การโกรเป็นการเอาเปรียบเพื่อน
- การโกงเป็นการละเมินกติกาแห่งเกียรติยศที่สัญญาไว้ (ด้วยการเซ็นชื่อด้วย)
- การโกงการเรียนเป็นบ่อเกิดแห่งการโกงอื่นๆ จึงเป็นเส้นทางแห่งการทำลายอนาคตตนเอง
- การโกงเป็นการปิดกั้นโอกาสเชี่ยวชาญหรือความเป็นเลิศ
- ความมั่นคงในความซื่อสัตย์ ปฏิบัติตามหลักคุณธรรม เห็นประโยชน์ส่วนรวม และการมุ่งทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น คือคุณสมบัติที่ทำให้ให้ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช มีชีวิตที่ดีได้ในระดับนี้
- อาจารย์ต้องตั้งเป้าว่า จะให้เกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ใด ระดับใด ต่อลูกศิษย์ แล้วค่อยเลือกวิธีสอนหรือวิธีจัดการเรียนรู้
- เครื่องมือในการทำให้นิสิตเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ มี ๓ ประการ ได้แก่
- รูปแบบ (Format) ของรายวิชา
- วิธีสอน (Teaching Methods)
- เทคนิคการสอน (Teaching Moves)
- ศาสตราจารย์ Nilson แนะนำ ๑๘ วิธีสอน ได้แก่
- การบรรยาย (Lecture)
- การบรรยายแบบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive Lecture)
- ทบทวนความเข้าใจ (Recitation) ด้วยการถามตอบ
- อภิปรายตามกรอบ (Directed Discussion)
- ฝึกหัดเขียนและพูด (Writing and Speaking Exercise)
- เทคนิคประเมินห้องเรียน (Classroom Assessment Techniques) ด้วยการมอบหมายงานให้ผู้เรียนทำโดยไม่เป็นทางการ ไม่มีคะแนน
- นิสิตประเมินป้อนกลับซึ่งกันและกัน (Student-Peer Feedback)
- ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ (Cookbook Science Labs)
- สอนตามจังหวะทันใด (Just-In-Time Teaching) เป็นการปรับการเรียนการสอน เพื่อแก้ความเข้าใจผิด ที่ได้จากการทดสอบออนไลน์ก่อนชั้นเรียน
- เรียนรู้จากกรณีศึกษา (Case Study)
- เรียนโดยการตอบโจทย์ (Inquiry-based or Inquiry-guided Learning)
- เรียนรู้โดยการแก้ปัญหา (Problem-based Learning) แบ่งกลุ่มเรียนโดยตั้งโจทย์ปัญหาแล้วหาทางแก้โจทย์หรือปัญหานั้น
- เรียนโดยทำโครงงาน (Project-based Lerning) ทำเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม เอาความรู้ไปใช้สร้างสรรค์ผลงาน
- เรียนโดยสวมบทบาทสมมติ (Role Plays)
- เรียนโดยสร้างแบบจำลอง (Simulation) สร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์ หรือแบบจำลองนามธรรม แล้วสร้างวัตถุจัดแสดงเพื่อประยุต์ใช้ความรู้
- เรียนโดยการบริการตามด้วยการสะท้อนคิด (Service-Learning with Reflection)
- การเรียนภาคสนามและภาคคลินิก (Fieldwork and Clinicals) ให้ฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จริง
- ความสัมพันธ์ระหว่างผลลัพธ์การเรียนรู้และวิธีสอน แสดงดังแผนผัง
หนังสือเล่มนี้ เป็นต้นแบบของการถอดบทเรียนให้ได้เทคนิคการสอนแบบมืออาชีพที่ mini-UKM กำลังทำกัน และจะสนุกมาก ถ้าเราหาอาจารย์ที่เป็น BP แบบนี้ได้จริงๆ ... ผมเชื่อว่ามีแน่นอน
มาต่อในบันทึกต่อไปครับ
มาต่อในบันทึกต่อไปครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น