ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แบบ "สกิม" นานแล้ว วันนี้มีแรงบันดาลใจ ที่จะสรุปสาระสำคัญที่เป็นหัวใจในหนังสือเล่มนี้ ไปไว้เป็นบทเรียนหนึ่งของรายวิชาความเป็นมนุษย์ฯ จึงมา "จับประเด็น" ละเอียด... จึงนำมาแลกเปลี่ยนไว้ เผื่อเพื่อน พี่ อาจารย์ และลูกๆ หลานๆ นิสิตจะเข้ามาอ่านกัน
เนื้อหาของหนังสือแบ่งเป็น ๓ ส่วน ขอจับประเด็นให้เห็นเฉพาะส่วนที่ ๑ ที่เกี่ยวกับ "ตัวความสุข" ในบริบทผู้แต่งอยากจะนำเสนอและถ่ายทอด ส่วนที่เหลือเป็นการประยุกต์ใช้และประสบการณ์การฝึกจิตใจให้มีความสุข
บทนำ
- หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกในชื่อ "เปิดห้องเรียนแห่งความสุข"
- ผู้แต่งคือ Tal Ben-Shahar, Ph.D อาจารย์สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แปลโดย พรเลิศ อิฐฐ์
- วิชานี้เปิดสอนครั้งแรกในปี 2002 มีนิสิตลงทะเบียนเพียง ๘ คน และถอนไป ๒ คน แต่ต่อมาเพิ่มขึ้นเป็น ๓๘๐ คนในปีต่อมา และเพิ่มเป็นพันในเวลาไม่นาน จนกลายเป็นรายวิชาที่มีผู้เรียนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย
- เหตุที่ผู้คนสนใจวิชาที่ว่าด้วยความสุขนี้ เพราะคนไม่มีความสุข ผู้แต่บอกว่า
- ในสหรัฐฯ คนรู้สึก "หดหู่" มากกว่าปี 1960 ถึง สิบเท่า
- อายุเฉลี่ยของคนที่รู้สึก "หดหู่" ครั้งแรกอยู่ที่ 14.5 ปี ลดลงจากปี 1960 ซึ่งอยู่ที่ 29.5 ปี ครึ่งหนึ่ง
- นักศึกษาในสหรัฐฯ เกือบร้อยละ ๔๕ รู้สึก "หดหู่" จนดำเนินชีวิตได้ยาก
- ในอังกฤษ ปี 1957 คนร้อยละ ๕๒ บอกว่าเขามีความสุขมาก แต่ในปี 2005 คนที่มีความสุขลดลงเหลือเพียงร้อยละ ๓๖ เท่านั้น
- กระทรวงสาธารณสุขของประเทศจีนออกประกาศว่า สุขภาพจิตของเยาวชนอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงอย่างแท้จริง
- คนเริ่มรู้กันแล้วว่า ความมั่งคั่ง ร่ำรวย ไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้นเลย แต่ยังคงสับสนในทางออกว่า แบบใดล่ะถึงจะมีความสุข .... (อ่านถึงตรงนี้ผมรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกิน ที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และพุทธศาสนา)
- ท่ากลางความสับสน ผู้คนเริ่มหันหน้ามาพึ่ง "จิตวิทยาเชิงบวก" ... (ซึ่งความจริง จิตวิทยาเชิงบวก ยังติดอยู่ในระดับ "คิด" ไม่ใช่ "รู้" จึงคงต้องเวียนว่ายอยู่ต่อไป ถึงแม้จะมีความสุข)
- ผู้แต่งขั้นการเขียนในแต่ละส่วนสำคัญด้วย กิจกรรม "ขอเวลาใน" ให้ผู้อ่านได้ใคร่ครวญ" สัก ๒-๓ นาทีถึงสิ่งที่อ่านไป และในตอนท้ายแต่ละบท ยังมีแบบฝึกหัดและแนวฝึกปฏิบัติให้ได้ลงนำเอาไปปฏิบัติกับตนเอง .... (ผมรู้สึก ส่วนนี้ล่ะ ที่จะมีประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในรายวิชาความเป็นมนุษยฯ)
- ผู้แต่งเคยเข้าใจว่า "ความสุข" คือ "ความสำเร็จ" จึงมุ่งมั่นเพียรพยามซ้อมอย่างหนักอยู่ถึง ๕ ปี เพื่อจะเป็นแชมป์สควอชระดับประเทศของอิสราเอลอันเป็นความฝัน แต่เมื่อทำสำเร็จแล้ว แม้ความสุขจะเกิดขึ้นจริง มีการฉลองกันใหญ่โต แต่เพียงไม่นาน ความสุขก็หายไป กลายเป็น "ความหดหู่" (คงจะเกิดจากความคาดหวังใหม่) ที่จะต้องมุ่งไปให้ถึงระดับโลก ท่านจึงเกิดความสงสัยว่า หากทำสำเร็จต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น อะไรคือความสุขกันแน่ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ท่านหันมาศึกษาทางจิตวิทยาอย่างจริงจัง
- ผู้แต่งพบว่า มนุษย์มนุษย์ศึกษาเรื่องความสุขอย่างจริงจังมานานแล้ว เพลโต ศึกษาว่าทำอย่างไรจะมีชีวิตที่ดี อริสโตเติล ลูกศิษย์ของเขา ได้ตั้งสำนักไลเซียมขึ้นเพื่อเผยแพร่แนวคิดของความเจริญรุ่งเรือง ในขณะที่ ๑๐๐ ปีก่อนนั้น ขงจื้อได้เดินทางไปทั่วประเทศจีนเพื่อเผยแพร่ตำราเรื่องความสมปรารถนาของตน ... (ผู้แต่งไม่ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้า ท่านคงไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจัง หลังจากอ่านหนังสือไปกว่าครึ่งเล่ม ผมก็เห็นจริงๆ ว่า ท่านไม่ทราบเกี่ยวกับ "ความสุข" แบบ "ไม่มีทุกข์" ตามหลักพุทธเลย... มิน่าล่ะ พุทธศาสนาถึงกำลังได้รับความนิยมในตะวันตก เพราะแม้แต่ ศาสตราจารย์ท่านนี้ ก็ยังไม่ได้เข้าถึง)
ความสุขคืออะไร: คำถามเกี่ยวกับความสุข
- คำถามคือ "ความสุขคืออะไร" "ความสุขของคุณคืออะไร" "คุณจะนิยามความสุขในแบบของคุณว่าอย่างไร" "แท้จริงแล้วความสุขคืออะไรกันแน่"
- แม้ทุกคนจะรู้ดีเมื่อสัมผัสกับความสุข และเข้าใจด้วยว่า คำใดอธิบายความสุขในความหมายของตนเองได้ดีหรือไม่ดีพอ แต่ก็ไม่มีใครจะสามารถให้คำจำกัดความของความสุขที่ครอบคลุมได้ .... (ในศาสนาพุทธของเรา ความสุข ก็คือความไม่ทุกข์ นั่นแหละ แล้วอะไรคือทุกข์ ก็ขันธ์ทั้งห้านั่นแหละคือทุกข์ คำสอนชัดเจนยิ่งนัก ยากก็ตรงการเดินไปสู่ทางพ้นทุกข์)
- คำว่า Happiness มาจากคำว่า happ ในภาษาของชาวไอซ์แลนด์ ซึ่งหมายถึง "โชค" หรือ "โอกาส" โดยมีรากศัพท์เดียวกับคำว่า haphazard (เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ) และ happenstance (เกิดขึ้นโดยบังเอิญ)
- ผู้แต่งบอกว่า ความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงมุ่งที่จะมาศึกษาให้เข้าใจความสุขอย่างจริงจัง .... (วันก่อนโน้นผมถอดบทเรียนของคุณขุนเขา เขาก็บอกทำนองว่า คนไม่มีความสุขเพราะไม่เข้าใจความสุข (อ่านที่นี่) แสดงว่า จิตวิทยาตะวันตกเขามุ่งไปที่ "ความสุข" ซึ่งต่างจาก คำสอนของพุทธศาสนาที่เน้นปัญญาเกี่ยวกับ "ความทุกข์" ... ยิ่งรู้สึกว่ามีบุญเหลือเกินที่เกิดในพุทธศาสนา)
- คำถามต่อมา คือ "ฉันจะหาความสุขมากขึ้นได้อย่างไร"
- ผู้แต่งเขียนว่า "การแสวงหาความสุขเป็นกระบวนการอันต่อเนื่องที่ไม่มีจุดสิ้นสุด... ปราศจากจุดจบแน่ชัด" ... (ชัดเจนว่า ท่านไม่ได้ศึกษาหรืออริยสัจ ๔)
- ผู้แต่งเห็นด้วยกับอริสโตเติล ที่บอกว่า " สิ่งที่เราทำซ้ำบ่งบอกถึงตัวเรา ความเป็นเลิศจึงไม่เกิดจากการกระทำ แต่เกิดจากนิสัยต่างหาก"
- งานวิจัยจำนวนมาก เห็นตรงกันว่า
- การรับเอาพฤติกรรมใหม่ๆ มาใช้ หรือการยกเลิกนิสัยเดิมๆ นั้นเป็นเรื่องยากกว่าที่เราคิดไว้
- ความพยายามที่จะเปลี่ยแปลงส่วนใหญ่ทั้งระดับบุคคลหรือองค์กร จะประสบกับความล้มเหลว
- การเปลี่ยนแปลงตนเองที่มุ่งปลูกฝังวินัยในตนเอง เช่น การตั้งปณิธานที่จะเปลี่ยนตนเองต้นปีใหม่ ส่วนใหญ่จึงล้มเหลว
- วิธีการเปลี่ยนแปลงตนเองที่ได้ผลดี มีนำเสนอในหนังสือของ จิม ลูเออร์ และ โทนีชวาร์ต คือบอกว่า แทนที่จะเปลี่ยนแปลงโดยการมุ่งปลูกฝังวินัยในตนเอง ให้ใช้วิธีการ "สร้างกิจวัตร" (ผมนึกถึงพระวินัยหรือข้อวัตรของสงฆ์)
- ลูเออร์และชวาร์ตซ์ บอกว่า การสร้างกิจวัตรนั้น ต้องอาศัยการกำหนดพฤติกรรมที่ชัดเจนมากๆ ขึ้นมา และนำไปปฏิบัติในช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจงมากๆ โดยได้รับแรงกระตุ้นจากค่านิยมที่ฝังลึกอยู่ในใจ (สอดคล้องกับ พระที่ท่านมีศรัทธามากๆ เมื่อบวชก็เคร่งพระวินัย ทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงจากภายในไปจนสู่การบรรลุ)
- ตัวอย่างของกิจวัตร คือ การแปลงฟันวันละ ๒ ครั้ง จึงทำให้ฟันเราสะอาดและไม่มีปัญหาเกี่ยวกับฟัน เช่นเดียวกัน หากเราอยากให้ชีวิตมีความสุข เราต้องสร้างกิจวัตรแห่งความสุขขึ้น
- ผู้แต่งแนะนำให้ กำหนดกิจวัตรเพียง ๑-๒ อย่าง เมื่อทำได้จนเกิดเป็นนิสัยได้จริงแล้ว ค่อยกำหนดเพิ่ม (แสดงว่า กิจวัตรสร้างนิสัย)
- คำถามคือ "กิจวัตรอะไรบ้างที่จะทำให้คุณมีความสุขเพิ่มขึ้น"
- ออกกำลังกายสัปดาห์ละ ๓ ครั้ง ...ไหม
- ทำสมาธิสิบห้านาทีทุกเช้า ...ไหม
- เดทกับคนรักทุกวันอังคาร...ไหม
- เพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือวันละ ๒ ชั่วโมง... ไหม
- ฯลฯ
- งานวิจัยของ โรเบิร์ต เอ็มมอนส์ และ ไมเคิล แมคคัลลอฟ บอกว่า คนที่่เขียนบันทึกเกี่ยวกับความรู้สึกขอบคุณที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน (โดยเขียนถึงสิ่งที่รู้สึกตื้นตันอย่างน้อย ๕ อย่าง) จะมีความสุขทางกายและใจมากกว่าคนที่ไม่ได้เขียน
เชื่อมประสานปัจจุบันกับอนาคต
- ผู้แต่งนำเสนอแบบจำลองแฮมเบอร์เกอร์ (เพื่ออธิบายแนวคิดในการดำเนินชีวิต ๔ ประเภท)
- เขาตั้งเป้าว่า จะกินแต่อาหารที่มีประโยชน์ในระหว่างฝึกซ้อมเพื่อแข่งสควอชรายการสำคัญรายการหนึ่ง โดยตั้งใจว่า หลังแข่งเสร็จจะกินแฮมเบอร์เกอร์ให้หนำใจสัก ๔ ชิ้น แต่เมื่อถึงเวลาหลังจากสั่งมาแล้ว ความอยากกินกับหายไปแล้ว .... ท่านจึงได้ไอเดียในการเสนแบบจำลองการมองชีวิตขึ้น
- แบบจำลองแฮมเบอร์เกอร์ เสนอให้พิจารณาแนวคิดในการดำเนินชีวิต ๔ แบบ ได้แก่
- แฮมเบอร์เกอร์ชนิดแรก คือ แฮมเบอร์เกอร์อาหารขยะ หากกินวันนี้ อร่อยวันนี้ เอ็มเอมวันนี้ แต่จะมีผลเสียตามมาในอนาคต หากเทียบกับคนจะเป็น "รูปแบบคนเจ้าสำราญ" มีความสุขไปวันๆ โดยไม่แยแสผลเสียที่จะตามมาในอนาคต ไม่สนใจอะไร ปล่อยชีวิตให้มีความสุขอย่างเต็มที่ทุกนาทีกับการเสพสุข ไม่ขนขวาย อดทน หรือพยายามทำสิ่งใดที่ยากลำบาก
- แฮมเบอร์เกอร์ชนิดที่สอง คือ แฮมเบอร์เกอร์มังสวิรัติ ไม่อร่อยวันนี้ แต่จะส่งผลดีต่อร่างกายในอนาคต หากเปรียบกับคนจะเป็นแบบ "รูปแบบหนูวิ่งแข่ง" คือยอมทุกข์ในปัจจุบันเพื่อความคาดหวังบางอย่างในอนาคต ตั้งใจทำไปตามรูปแบบใดๆ ที่สังคมกำหนด แข่งขัน มุ่งมั่น ขยัน อดทน พากเพียร ให้ได้ตามค่านิยมและกฎเกณฑ์ของสังคม เช่น ตั้งใจเรียนหนักให้ได้เกรดดีๆ ทำงานอย่างเต็มที่เต็มเวลาขนขวายหาทุกวิธีทางให้งานสำเร็จเพื่อให้รายได้มากๆ มีเงินมากๆ มุ่งสร้างชีวิตให้เพียบพร้อม สะดวกสบาย ฯลฯ
- แฮมเบอร์เกอชนิดที่สาม คือ แฮมเบอร์เกอร์ชนิดห่วยแตก นอกจากไม่อร่อยวันนี้แล้ว ยังส่งผลเสียในอนาคต เทียบกับคน "รูปแบบคนหมดอาลัยตายอยาก" ไม่มีความสุขทั้งในวันนี้และในอนาคต
- แฮมเบอร์เกอร์ชิ้นที่สี่ คือ แฮมเบอร์เกอร์ที่มังสวิรัติที่แสนอร่อยในวันนี้ และนำพาสู่ความปรารถนาในอนาคตด้วย เปรียบได้กับคนใน "รูปแบบความสุข" สามารถที่จะมีควมสุขได้ทั้งวันนี้และส่งผลให้วันต่อๆ ไป เป็นวันแห่งความสุข
- แบบฝึกหัด "รูปแบบทั้งสี่" (น่านำไปใช้กับนิสิตมาก) มอบหมายให้เขียนบันทึกประสบการณ์เกี่ยวกับรูปแบบทั้งสี่ใน ๔ วันข้างหน้า โดยใช้เวลาวันละ ๑๕ นาที รูปแบบทั้ง ๔ คือ คนเจ้าสำราญ คนเป็นหนูวิ่งแข่ง เป็นคนหมดอาลัยตายอยาก หรือเป็นคนมีความสุข
- หนูวิ่งแข่ง ให้เขียนถึงช่วงเวลาในชีวิตที่รูสึกว่า ตนเองกำลังวิ่งอยู่บนสายพาน ทำเพื่อจะได้มีอนาคตที่ดี อะไรคือประโยชน์ที่จะเกิดจากการทำสิ่งนั้น และคุณต้องสูญเสียอะไรบ้าง
- คนเจ้าสำราญ ให้เขียนบรรยายถึงช่วงที่ชีวิตเหมือนคนเจ้าสำราญ เขียนว่าประโยชน์คืออะไร จะสูญเสียอะไรไป
- คนหมดอาลัยตายอยาก ให้เขียนถึงประสบการณ์ที่ยากลำบากเป็นพิเศษในตอนที่คุณหมดอาลัยตายอยาก จงเขียนบรรยายถึงความรู้สึกในห้วงลึกของความสิ้นหวังที่สุดของคุณ
- คนมีความสุข ให้เขียนถึงช่วงเวลาที่คุณมีความสุขเป็นพิเศษ พยายามสัมผัสอารมณ์นั้นให้ได้ แล้วเขียนลงบนกระดาษ
- การฝึกจิตให้อยู่กับความสุข ทำได้โดยการทำสมาธิ ซึ่งยืนยันโดยงานวิจัยของเฮอร์เบิร์ต เบนสัน จอน คาบัท-ชินน์ และริชาร์ด เดวิทสัน ที่บอกว่าการ นั่งหลับตา หายใจลึกๆ เข้าสู่ช่องว่างในท้องของคุณ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมออก ใช้จิตสำรวจร่างกายของตนเอง ส่วนใดเกร็งให้เพ่งลมหายใจตรงไปที่บริเวณนั้นเพื่อผ่อนคลาย แล้วกลับมาจดจ่อกับลมหายใจของคุณอีก โดยหายใจลึกๆ ช้าๆ อย่างน้อย ๕ - ๒๐ นาที และทำให้เป็นกิจวัตร แล้วจะทำให้มีความสุข .... (นี่เป็นเพียง สมถะสมาธิเท่านั้น ... รู้สึกภูมิใจที่ได้เกิดในที่ที่สอนเรื่องวิปัสนา)
ตีแผ่ความสุข
- กิจกรรมที่น่าสนใจ (ควรนำไปใช้คือ) การให้ตั้งคำถามว่า "ทำไม" กับสัก ๒-๓ สิ่ง แบบไม่รู้จบสิ้น เช่น ถ้าอยากมีรถยนต์ของตนเอง ทำไมถึงอยากมีรถยนต์ของตนเอง ... เพราะจะไปไหนมาไหนก็ได้ทำไมถึงอยากไปไหนมาไหนก็ได้...เพราะอยากจะไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ทำไมถึงอยาจะไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ฯลฯ....... สุดท้ายจะไปถึงคำถามว่า เพราะฉันอยากมีความสุข และถ้าถามต่อว่า ทำไมถึงอยากมีความสุข .... จะตอบไม่ได้แล้ว เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์
- ดังคำที่ เดวิด ฮูม ปราชญ์ชาวอังกฤษที่บอกว่า "จุดหมายที่ยิ่งใหญ่ในความพากเพียรอุตสาหะของมนุษย์ ก็คือการได้รับความสุข"
- งานวิจัยจำนวนมาก บอกว่า ความสุข จะนำไปสู่ความสำเร็จ คนที่มีความสุขมักจะประสบความสำเร็จในหลายๆ ด้าน และบอกว่า ความสุขและความสำเร็จมีความสัมพันธ์ในเชิงที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน
- ผู้แต่งให้คำจำกัดความของความสุขว่า "ประสบการณ์ในภาพรวมของความพอใจและความหมาย" กล่าวคือ ความสุขประกอบด้วย ๒ อย่างคือ "ความพอใจ" และ "ความหมาย"
- "ความพอใจ" คือผลแห่งอารมณ์ ความรู้สึก เป็นสิ่งที่หุ่นยนต์ อย่างไรก็ตาม สัตว์เดรัจฉาน ก็มีอารมณ์ความรู้สึก และความพอใจเช่นกัน
- "ความหมาย" คือสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน
- ความสามารถที่มนุษย์มีแต่สัตว์เดรัจฉานไม่มีคือ การไตร่ตรองถึงความรู้สึก ความคิด และการกระทำที่เกิดขึ้น และความสามารถในการตระหนักถึงสติสัมปชัญญะและประสบการณ์ของตนเอง
- ทฤษฎีความสุขของผู้แต่ง มาจากทฤษฎีพื้นฐานของสองผู้ยิ่งใหญ่ คือ
- ซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่บอกว่า มนุษย์ถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการที่มาจากสัญชาตญาณ
- แฟรงเคิล ที่บอกว่า การพยายามค้นหาความหมายในชีวิตของตนเองนับว่าเป็นแรงจูงใจหลักของมนุษย์ สิ่งที่มนุษย์ต้องการจริงๆ ไม่ใช่ภาวะไร้ความเครียด แต่เป็นการดิ้นรนและมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายบางอย่างที่มีคุณค่า
- ผู้แต่งเสนออีกกฎอีกข้อหนึ่ง เรียกว่า กฎลาซานญ่า ชื่ออาหารจานโปรดของท่าน ซึ่งแม้จะโปรดปรานชอบแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถที่จะมีความสุขกับการกินได้ตลอด กฎลาซานญ่า บอกว่า มนุษย์มีขีดจำกัดกับการมีความสุขกับกิจกรรมแต่ละอย่าง เช่นเดียวกับกิจกรรมอื่นๆ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ทำงานอดิเรก ล้วนแล้วแต่จะเพลินอยู่ได้เพียงเวลาช่วงหนึ่ง
- แบบฝึกหัด สร้างแผนที่ชีวิต โดยประยุกต์ใช้กฎลาซานญ่า โดยให้บันทึกว่า เราทำกิจกรรมอะไรบ้างนานแค่ไหนในแต่ละสัปดาห์ แล้วประเมิน "ความพอใจ" และ "ความหมาย" ของกิจกรรมนั้นด้วยเกณฑ์คะแนน ๕ ระดับ แล้วให้เติมความต้องการว่าอยากเพิ่มหรือลดเวลาของกิจกรรมนั้นลง โดยใช้เครื่องหมาย + หากต้องการเพิ่ม, ++ ถ้าอยากใช้เวลามเพิ่มขึ้นมากๆ และใช้ -, -- ต้องการลดเวลา หรือถ้าเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนเวลาให้ใช้เครื่องหมาย = แล้วให้พิจาณาว่า เราจะใช้เวลามากแค่ไหนกับสิ่งที่มี "ความหมาย" ในชีวิต
หน่วยวัดสูงสุด
- ความสุขหน่วยวัดสูงสุด
- หากมองเรื่องธุรกิจ เงินคือหน่วยวัดสูงสุด แต่งานวิจัยของ เดวิด ไมเยอร์ส ได้พิสูจน์แล้วว่า ความมั่งคั่ง ร่ำรวย ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับความสุขเลย
- ผู้แต่งยกตัวอย่างได้น่าสนใจมากกว่า ... สมมติมนุษย์ต่างดาวเดินทางมาจากดาวศุกร์ เดินเข้าไปในร้านเพื่อซื้อของมูลค่า ๑ พันดอลลาร์ แล้วให้เจ้าของร้านเลือกระหว่าง เงิน ๑ พันดอลลาร์กับตั๋วเงินใบหนึ่ง ซึ่งหากใช้บนดาวศุกร์จะมีค่าเทียบกับเงิน ๑ พันล้านดอลลาร์ หากคุณเป็นเจ้าของร้าน จะเลือกอะไร .... แน่นอนว่า คงจะเลือกเงิน ๑ พันดอลลาร์ เว้นแต่ว่า จะอยากได้เก็บตั๋วเงินใบนั้นไว้เป็นคุณค่าทางใจ นั่นหมายถึง เงินดอลลาร์จะมีค่าลดลงเมื่อประเมินในแง่ "ความสุข" ด้วยเหตุนี้ ความสุขจึงเป็นหน่วยวัดสูงสุด
- หากมองเรื่องสังคม ชื่อเสียง เกียรติยศ อาจเป็นหน่วยวัดสูงสุด แต่ความจริงแล้ว ให้เลือกคนก็เลือกจะละทิ้งชื่อเสียงแลกกับความสุข
- แบบฝึกหัดท้ายเล่มให้ "เติมประโยคให้สมบูรณ์" ที่คิดครั้งแรกโดย ธาเนียล แบรนเดล นักจิตบำบัดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาด้านความภาคภูมิใจในตนเอง กิจกรรมมีอยู่ว่า ให้รีบต่อประโยคที่เริ่มไว้ให้สมบูรณ์อย่างน้อย ๖ แบบ ตัวอย่างประโยคเช่น
- หากฉันมีสติกับชีวิตมากขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ .....
- สิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุข............
- ฉันเริ่มตระหนักว่า.........
- โดยให้ฝึกทำกิจกรรม "เติมประโยคให้สมบูรณ์" นี้บ่อยๆ หลายๆ ครั้ง
- ให้นึกถึง แผนที่ชีวิต แล้วให้พิจารณาสัปดาห์แห่งอุดมคติ เมื่อคุณมีภาพที่ในใจอยากจะให้เป็น ก็เริ่มมีโอกาสที่จะสำเร็จ
การตั้งเป้าหมาย
- งานวิจัยจำนวนมาก บอกว่า ผู้ที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมาย
- เป้าหมายคือการให้คำมั่นสัญญาที่เปิดเผยออกมาอย่างแจ่มชัด ซึ่งช่วยทำให้เรามุ่งความสนใจไปที่จุดมุ่งหมายได้
- งานวิจัยในช่วงสิบปีนี้ ยืนยันว่า แม้ความสำเร็จจะมีความสัมพันธ์กับการตั้งเป้าหมาย แต่ความสุขกลับสวนทาง การไม่บรรลุเป้าหมายบางอย่างอาจนำเราไปสู่ความท้อแท้สิ้นหวัง
- บทบาทที่แท้จริงของเป้าหมายคือการปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระเพื่อให้เรามีความสุขกับปัจจุบันขณะได้ เป้าหมายจะบอกทิศทางของการเดินทาง เราจะไม่สับสนกับทางแยกระหว่างทางไปสู่จุดหมาย มีเวลาได้เพลิดเพลินและสนุกไปกับการเดินทาง ชื่นชมดอกไม้นานาพันธุ์
- ต้องไม่ให้ความสำคัญกับ "การบรรลุเป้าหมาย" มากเท่ากับ "การมีเป้าหมาย" .... (ผมชอบมาก)
- เป้าหมายเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายของการเดินทาง
- เป้าหมายที่ดีต้องเปี่ยมไปด้วย "ความหมาย" และการเดินทางไปสู่จุดหมาย ก็ต้องเต็มไปด้วย "ความพอใจ" ด้วย (....โห ช่างต่างกับคำสอนพระพุทธเจ้า ที่ไม่ให้ตามใจกิเลส)
- แคนนอน เชลดอน ได้เสนอว่า สำหรับคนที่กำลังแสวงหาความสุข จงเดินไปสู่
- เป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับความเจริญก้าวหน้า ความสัมพันธ์ และการเข้าไปมีส่วนร่วม แทนที่จะเป็นเงินทอง ความงาม หรือชื่อเสียง
- เป้าหมายนั้นจะต้องมีความสำคัญสำหรับตัวเอง เรียกว่า "เป้าหมายที่สอดคล้องกับตนเอง" ไม่ได้ถูกบีบบังคับให้ทำ
- เป้าหมายที่สอดคล้องกับตนเอง ต้องเลือกด้วยตนเอง และต้องซื่อสัตย์กับตนเอง ไม่ได้เลือกภายใต้สิ่งเร้าภายนอก ไม่ควรเป็นความมั่งคั่ง เงิน ชื่อเสียง เกียรติยศ ควรเริ่มจากพิจารณาตนเองดังต่อไปนี้ตามลำดับ
- อะไรที่ฉันทำได้
- อะไรที่ฉันอยากทำ
- อะไรที่ฉันอยากทำจริงๆ
- อะไรที่ฉันอยากทำมากที่สุด
- แบบฝึกหัด "ตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกับตนเอง" น่าจะเป็นกิจกรรมบังคับสำหรับทุกคน โดยให้มีเป้าหมายหลายระดับ เริ่มตั้งแต่
- เป้าหมายระยะยาว เป็นจุดหมายที่จับต้องได้ ไม่เลื่อนลอย มีเส้นชีวิตชัดเจนตั้งแต่ ๑-๓๐ ปี
- เป้าหมายระยะสั้น คือการเอาเป้าหมายระยะยาวมาแบ่งเป็นลำดับขั้นสั้นๆ
- แผนการลงมือทำ เพื่อให้ผลักดันให้เป้าหมายกลายเป็นจริง จะทำอะไรในปี เดือน หรือวันที่กำลังจะมาถึง .... (เฮ้อ... เริ่มยาก)
- ให้ก่อตั้ง "คณะกรรมการด้านความสุข" ของตนเอง โดยเลือกเอาเฉพาะคนที่สนใจในตัวเราและใส่ใจในความสุขของเรา เพื่อมาเป็นคนกระตุ้นให้เรารับผิดชอบต่อคำมั่นสัญญา และอยู่บนเส้นทางของความสุข
จบส่วนที่ ๑ ในส่วนที่ ๒ ผู้แต่งเขียนเรื่องราวของการประยุกต์ใช้ความสุข ซึ่งเป็นประสบการณ์การทำงานของท่านด้านการศึกษา โดยเล่าแนวปฏิบัติงานของตนเอง และส่วนที่ ๓ เป็นประสบการณ์ในงานฝึกจิตใจให้อยู่กับความสุข ผู้สนใจหาซื้อมาอ่านเองก็ไม่แพงดอก ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น