วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เข้าร่วมโครงการ สัมมนาบูรณาการการศึษษแบบองค์รวม เพื่อการพัฒาบัณฑิตที่พึงประสงค์ในศตวรรษที่ ๒๑ (๔) : AAR

การไปร่วมสัมมนาครั้งนี้ เกิดสิ่งที่ดีที่ผมเห็นกับตนเอง ดังนี้
  • ได้พบและรู้จักเครือข่ายการศึกษาทั่วไป จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ  และประสบการณ์จากการขับเคลื่อนของแต่ละสถาบัน
    • มข. ก้าวไปไกล ด้วยการบูรณาการโครงการสร้างผู้ประกอบการกับโครงการพัฒนาบัณฑิตที่พึงประสงค์ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยเฉพาะการร่วมมือกับ MIT  ยกเอาสิ่งดี ๆ มาสร้างกิจกรรมสร้าง StartUp  
    • ม.นครพนม มีทีมเข้มแข็งมาก กำลังขับเคลื่อนอ่างจริงจัง ... ท่านบอกว่าสิ่งสำคัญคือการบูรณาการระหว่างการปลูกฝัง Hard Skils และ Soft Skills 
    • มรภ. ร้อยเอ็ด มีรายวิชาศาสตร์พระราชา และกำลังบูรณาการศาสตร์พระราชากับการพัฒนาชุมชน 
    • มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กำลังปลูกฝัง "ความพอเพียง" ผ่าน กิจกรรม "หลุมพอเพียง"  ภายในมหาวิทยาลัยใจกลางเมืองที่มีพื้นที่จำกัด... น่าสนใจมากครับ 
    • วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย  ปลูกฝังโดยเน้นการทำตนเป็นแบบอย่าง และบ่มเพาะด้วยความรัก ความเมตตา  ...  ท่านเป็นอาจารย์พยาบาลครับ ... ผมรู้จักอาจารย์สอนพยาบาลหลายท่าน ที่มีบุคคลแห่งความใจดี มีเมตตาแบบนี้   ผมสงสัยว่าต้องมีอะไรสักอย่างในหลักสูตรของการสร้างพยาบาล ที่ปลูกฝังให้มีจิตใจเช่นนั้น 
    • วิทยาลัยพิชญบัณฑิต ... ท่านแข็งขันถึงขั้นพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพในการขับเคลื่อนเครือข่ายพัฒนาบัณฑิตแบบองค์รวมหรือการศึกษาทั่วไป ... รศ.ดร.ฉลาด จันทรสมบัติ ครูอาจารย์ของคนพอเพียงนั้นเองครับ ที่เป็นผู้นำขับเคลื่อน
    • วิทยาลัยชุมชนหนองบัวลำภู  น่าจะเป็นตัวอย่างของการบูรณาการการศึกษากับการพัฒนาชุมชนได้ดีมาก ... ผมคิดว่า อาจารย์ที่กำลังทำงานกับชุมชน ต้องเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกับวิทยาลัยชุมชนนี้ 
    • วิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร เป็นเอีกแห่งที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ท่านที่เป็นตัวแทนอยู่ในกลุ่มย่อยที่ผมอยู่พอดี จึงมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกับท่าน ... (แต่ก็เสียดายที่เวลามีจำกัด อย่างไรก็ดี เราได้แลกเปลี่ยนเบอร์กันไว้แล้ว)
  • ได้เห็นต้นแบบของนักเรียนรู้  รศ.ดร.สุภาพ ณ นคร ผมสังเกตว่า ท่านอยู่ร่วมวงตลอด ๒ วัน ทั้งทำหน้าที่ช่วยเป็นฟากลุ่มย่อย ทั้งคอยสรุปและกำกับให้ทิศทางและเชียร์เด็กรุ่นหลัง ให้มีพลังก้าวต่อไป ... ท่านเป็นแบบอย่างของการทำอะไรด้วยใจ ท่านเป็นต้นแบบแห่งการคิดแบบองค์รวมอย่างแท้จริง สำนักศึกษาทั่วไปมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ท่านช่วยหลายอย่างจนเดินทางมาถึงทุกวันนี้


  • ผมฟังว่า ต่อไปอาจจะไม่มีเวทีดี ๆ แบบนี้ เพราะทาง สกอ. จะส่งตรงงบประมาณไปยังมหาวิทยาลัย (ซึ่งคงไปไม่ถึงสำนักศึกษาทั่วไป)  จึงลุกขึ้นเสนอตอนท้ายการประชุม กับเจ้าหน้าที่ของ สกอ. ที่ท่านมาร่วมวงด้วย  โดยฝากท่านว่า อยากให้มีเวทีกลางแบบนี้อีก เปิดโอกาสให้คนศึกษาทั่วไป นำเอาประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนกัน แบบไม่ต้องแข่งขัน หรือวิ่งตามความโลภแบบฝรั่งที่ทุกมหาวิทยาลัยกำลังดิ้นรน 
สุดท้ายนี้ขอจบด้วยกลอนของ ท่านอาจารย์สุภาพ ณ นคร จากกลุ่มย่อยที่ ๓ ที่ขับขานในวงโดย อ.มดเอ็กซ์ จาก ม.นครพนม  ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมและเชียร์ดังสนั่นห้องไปเลยครับ 



(ขอแก้ที่ผมพิมพ์ผิดนิดเดียวครับ  เปลี่ยนจาก ชีวิตเอย เป็น เลี้ยงชีพเอย ในบรรทัดสุดท้าย)

ขอจบบันทึกการเข้าร่วมประชุมตรงนี้ครับ  โอกาสหน้าหวังว่าจะเจอทุกท่านอีกครับ 

เข้าร่วมโครงการ สัมมนาบูรณาการการศึษษแบบองค์รวม เพื่อการพัฒาบัณฑิตที่พึงประสงค์ในศตวรรษที่ ๒๑ (๓) : การศึกษาทั่วไปเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ช่วงสาย ๆ ของวันที่ ๕ ก.ค. ๖๒ เป็นช่วงเวลาที่ผมรอคอยมากที่สุดสำหรับการสัมมนาครั้งนี้ เป็นการเปิดเวทีให้แต่ละมหาวิทยาลัยออกไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ดี (Good Practice) ของตนเอง  เสียดายที่มีเวลาเพียงมหาวิทยาลัยละ ๑๐ นาที เท่านั้น  ผมนำเรื่องขับเคลื่อนการศึกษาทั่วไป ไปนำเสนอ โดยตั้งชื่อว่า "การศึกษาทั่วไปเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน"


ความจริง การศึกษาทุกระดับ ทุกหลักสูตร ทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐาน อุดมศึกษา สาขาวิชาชีพ หรือการศึกษาอะไรก็ตาม ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งหมด หลายคนคงนึกถึง SDGs (Sustainable Development Goals) ของสหประชาชาติ  ... ผมเสนอต่อที่ประชุมว่า นิสิตทุกคนควรจะนึกถึง SEP (Sufficiency Economy Philosophy) ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพราะในหลวงทรงทำให้เห็นเป็นตัวอย่างจนได้รับการยอมรับจากคนทั้งโลกแล้ว คนไทยทุกคนควรจะภูมิใจในเรื่องนี้ และศึกษาและนำมาปฏิบัติ

การศึกษาทั่วไป มีจุดมุ่งหมายเพื่อ สร้างบัณฑิตให้เป็นคนที่สมบูรณ์ เป็นผู้มีจิตใจสูง (ดังคำสอนของหลวงพ่อสุบรรณ์ ท่านเทศน์ไว้ในบันทึกแรกที่นี่) การศึกษาเพื่อพัฒนาสู่เป้าหมายนี้ จำเป็นต้องจัดการศึกษาแบบองค์รวม (Horistic Educaiton)  รวมทุกสิ่งอย่างมาสู่ก้าวย่างแห่งการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  ซึ่งอาจแบ่งเป็น ๓ แนวทางการจัดการเรียนรู้ดังภาพ



  • มีวิาที่เน้นให้นิสิตรู้รอบ รู้กว้าง รู้โลก รู้สังคม  แม้จะเป็นการสอนเชิงบรรยายแบบถ่ายทอดความรู้ แต่ก็เน้นไปที่องค์ความรู้ที่จำเป็นที่นิสิตทุกคนควรต้องรู้   
  • รายวิชาส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่การฝึกทักษะ โดยเฉพาะจริยะทักษะ (Soft Skills) ซึ่งจัดการเรียนรู้ แบบ Active Learning หลากหลายรูปแบบ ทั้ง 
    • Project-based Learning  การเรียนรู้บนฐานโครงการ  เรียนรู้ผ่านโครงการ เช่น รายวิชาภาวะผู้นำ รายวิชาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ 
    • Problem-based Learning  การเรียนบนฐานปัญหา หรือ PBL  เรียนรู้ผ่านโครงการหรือโครงงานแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย หรืออยู่ในชุมชน 
    • Service-based Learning การเรียนรู้ผ่านการบริการสังคม เช่น รายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน ฯลฯ 
    • Community-based Learnng การเรียนรู้ผ่านชุมชน ใช้ชุมชนเป็นฐานในการเรียนรู้  เช่น รายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน (ของบางสาขา/หลักสูตร) 
    • Activity-based Learning การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมในชั้นเรียน เช่น รายวิชาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และวิชาความเป็นมนุษย์และการเรียนรู้ ฯลฯ 
  • รายวิชาเพื่อการเปลี่ยนแปลงจากภายใน (Transformative Learning)  เน้นไปที่การเรียนรู้ฐานใจ เช่น รายวิชาศิลปะวิจักษ์ รายวิชาความเป็นมนุษย์และการเรียนรู้ เป็นต้น 
สำนักศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คิดอ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่ ๔ ปีที่แล้ว เรากำหนดคุณลักษณะของบัณฑิตที่คาดหวังไว้ ๙ ประการ ดังรูป 



  • ทั้ง ๙ ข้อนี้ คือคุณลักษณะของมนุษย์ที่สมบูรณ์ของ มมส.  แต่ละข้อจะมีรายวิชาที่เป็นจุดเดน้นฝึกฝนให้นิสิตพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายแต่ละข้อนั้น ๆ 


  • ภาพด้านบนนี้  คือรายวิชาต่าง ๆ ตามหลักสูตรหมวดวิชาศึกษาทั่วไป พ.ศ.๒๕๕๘  ที่นำมา Mapping กับ เป้าประสงค์ ๙ ประการข้างต้น  
  • ดูเหมือนจะมีรายวิชาจำนวนมาก แต่จริง ๆ แล้ว  มีวิชาในหมวดหลักอยู่เพียง ๒๑ วิชา เท่านั้น นอกนั้นเป็นวิชาเลือก (ใช้อักษรสีน้ำเงิน) ที่ให้เลือกเรียนเพียง ๑ วิชาเท่านั้น  
  • จุดเด่นของหลักสูตรนี้ จึงเป็นเอกภาพในการขับเคลื่อนและปลูกฝังนิสิตอย่างมีทิศทาง 
  • ขอยกตัวอย่างบางรายวิชาต่อไปนี้ ที่เราทำกันมาอย่างต่อเนื่อง


  • รายวิชา ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน  เป็นวิชาบังคับเลือก (มีเพียง ๑ วิชาในกลุ่มสหศาสตร์ ต้องเลือกเรียน ๑ วิชา)  เพื่อมุ่งส่งเสริมการปลูกฝังอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย  
  • ประมาณดั่งว่า  ผู้ที่จบการศึกษามหาวิทยาลัย เป็นบัณฑิต จะคิดและทำอย่างผู้มีปัญญา พึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน 


  •  คำนี้ยิ่งใหญ่ คนที่อ่านแล้ว ฟังแล้ว รู้สึกว่าสูงเกิดไป  นั่นไม่ใช่เพราะเป้าหมายที่ห่างไกล แต่เป็นเพราะใจของผู้อ่านเองที่ยังไม่มั่นใจว่าเราจะสามารถไปใกล้ได้เพียงพอ 


  • ผมนำเสนอแผนการสอนของรายวิชานี้คร่าว ๆ ทั้ง ๑๗ สัปดาห์ และบอกว่า หากสนใจสามารถไปค้นอ่านได้ทางอินเตอร์เน็ต  (เช่น ที่นี่ เป็นต้น) 
  • ผมเคยถอดบทเรียนความสำเร็จของคณะต่าง ๆ ไว้  ลองค้นหาได้ เช่น คณะพยาบาลศาสตร์ ที่นี่  คณะศึกษาศาสตร์ที่นี่ เป็นต้น 


  • ทุก ๆ ปลายภาคเรียน รายวิชานี้จะจัดมหกรรมนำเสนอผลงานและผลการเรียนรู้ เพื่อให้นิสิตจากทุกคณะได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน  


  • วิชา ๐๐๓๒๐๐๔ ความเป็นมนุษย์และการเรียนรู้  เป็นวิชาฐานกิจกรรมที่เน้นการเรียนรู้จากภายในจิตใจ โดยใช้กิจกรรมจิตตปัญญาศึกษาเป็นเครื่องมือ  ซึ่งต้องใช้ห้องเรียนที่นิสิตสามารถยืน เดิน นั่ง นอน ได้สะดวก  (สนใจอ่านต่อที่นี่ครับ)


  • กิจกรรมสุนทียสนทนา  ที่นิสิตกลุ่มละ ๔ คน หันหน้าหากัน ฟังกันอย่างลึกซึ้ง ตั้งใจ ชื่นชม ไม่ตัดสิน  เป็นกิจกรรมที่เราทำกันเป็นปกติในรายวิชานี้  


  •  วิชาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  สอนเกี่ยวกับความเป็นมาของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ท่านใดสนใจดาวน์โหลดเอกสารประกอบการสอนได้ที่นี่


  • ความพอเพียง คือ ความรู้กับคุณธรรม หากบุคคลใดมีนิสิตแห่งการใช้ความรู้ และอยู่อย่างมีคุณธรรม ก็ถือว่าเป็นบุคคลพอเพียงแล้ว  
  • ความพอเพียง ถ้าเกิดขึ้นจริง สิ่งที่จะเห็น ก็คือความสมดุลและมีภมูิคุ้มกันพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกได้   หรือก็คือ จะเกิดความยั่งยืนขึ้นนั่นเอง 
  • ดังนั้น SDGs ก็คือเป้าหมายของการนำ SEP ไปปฏิบัตินั่นเอง 
  • รายวิชานี้จึงเป็นวิชากำลังสำคัญหลักอย่างหนึ่งของการศึกษาทั่วไป ที่ทุกมหาวิทยาลัยควรจะมี 


  • ทุก ๆ ปลายภาคเรียน รายวิชานี้ จะมีการจัดเวทีนำเสนอผลงาน ให้นิสิตนำผลงานในโครงการธุรกิจพอเพียงมานำเสนอ  ... ซึ่งกำลังพัฒนาต่อไป เป็น "ตลาดนัดพอเพียง" ในไม่ช้านี้  
  • ลองชมผลงานบางส่วนของนิสิตจากรายวิชานี้ คลิกที่นี่ 


  • วิชาสุดท้ายที่ผมนำเสนอต่อที่ประชุมสัมมนา (ด้วยเวลาจำกัดเพียง ๑๐ นาที) คือ รายวิชาภาวะผู้นำ   เป็นวิชาที่จัดการเรียนการสอนแบบ PBL โดยเฉพาะการเขียนโครงการ เราเน้นให้นิสิตเขียนโครงการเป็น และเน้นให้ได้ลงมือปฏิบัติอยู่ในพื้นที่มหาวิทยาลัยเป็นหลัก (ท่านใดสนใจคลิกค้นอ่านได้ที่นี่)


  • ตัวอย่างนี้ เป็นโครงการบำเพ็ญประโยชน์ของนิสิตกลุ่มหนึ่ง  พวกเขาสร้างโครงการระดมกำลังนิสิตจิตอาสาจากคณะต่าง ๆ  มาร่วมกันพัฒนาตลาดน้อย ล้างทำความสะอาดพัดลม  ร่วมกับกองอาคารสถานที่  
ขณะที่ผมเขียนบันทึกนี้ โลกก็กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับ ความโลภของคนที่เติบโตรวดเร็วกว่า  บางอันกลายมาเป็นนโยบายที่กำลังจะถูกใช้ขับเคลื่อนประเทศ  ผมมีความเห็นว่า การศึกษาทั่วไป คือความหวังที่จะฉุดรั้งหรือทำลายความโลภและความเห็นแก่ตัวในตน ในคนที่จะเป็นบัณฑิตต่อไปได้ ไม่มากก็คงไม่น้อย .....

ท่านใดที่อ่านมาถึงตรงนี้ อยากจะเป็นเครือข่ายการศึกษาทั่วไป เขตพื้นที่อีสานตอนบน เชิญมาคุยลุยกันทางไลน์ครับ


วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เข้าร่วมโครงการ สัมมนาบูรณาการการศึษษแบบองค์รวม เพื่อการพัฒาบัณฑิตที่พึงประสงค์ในศตวรรษที่ ๒๑ (๒) : "ชีวิตในยุค 5G"

ช่วงที่สองของโครงการฯ เป็นการบรรยายเชิงรุก (Active Lecture) ของ รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น ในหัวเรื่อง " การพัฒนาทักษะนักศึกษา เพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑" .... ใครสนใจ ดาวน์โหลดสไลด์ขท่านได้ที่นี่ ฟังเสียงบรรยายได้จากไฟล์เหล่านี้  ไฟล์ที่ ๑ และ ไฟล์ที่ ๒   ท่านบรรยายได้ดีมาก ๆ โดยเฉพาะใครที่ยังไม่ได้คิดติดตามเรื่องนี้มาก่อน

สำหรับผมแล้ว ได้เรียนรู้ใหม่เกี่ยวกับวิธีการนำเสนอของท่าน เป็นการบรรยายประกอบการสาธิต และสื่อเคลื่อนไหว ทำให้ผู้ฟังเห็นชัดเจนและเข้าใจได้ง่ายยิ่ง  ตอนท้าย ๆ ของการบรรยาย ท่านเปิดคลิปลักษณะชีวิต 5G ดังคลิปด้านล่างนี้


ท่านเห็นอะไรในคลิปนี้ครับ

  • ทีวี อินเตอร์เน็ตทีวี อยู่ในแว่นตา  และแว่นตาสามารถเปลี่ยนโหมดเป็นแว่นตาธรรมดาได้ 
  • กระจกรถยนต์ จะเป็นจอแสดงผลต่าง ๆ  
  • รถยนต์ขับเอง ไม่ต้องมีคนขับ  เพราะเชื่อมต่อ GPS ได้ แม่นยำ สั่งการได้รวดเร็ว ปลอดภัยกว่าคนขับเอง 
  • เกษตรกรใช้โดรนช่วยทำการเกษตร 
  • ไม่ต้องไปหาหมอ  สามารถพบหมอได้ทางอินเตอร์เน็ต หมอคำปรึกษาผ่านอินเตอร์เน็ต  
  • กระจกเงาส่องแต่งหน้า  ทำหน้าที่เป็นจอแสดงผลได้ 
  • คนคุยกับรถยนต์ได้ สั่งงานรถยนต์ได้ สั่ง ... ทุกอย่างสั่งงานด้วย AI
  • ร้านขายของไม่ต้องมีคนขาย อยากได้อะไรหยิบใส่กระเป๋าได้เลย  เดินผ่านประตูร้าน ทุกอย่างจ่ายผ่านเงินดิจิทัลเรียบร้อย  โดยดูข้อมูลจากนาฬิกาข้อมือ 
  • ต่อไปไม่จำเป็นต้องเรียนภาษา  เพราะนาฬิกาและหูฟัง สามารถจะรับภาษาหนึ่งแล้วแปลเป็นอีกภาษาหนึ่งได้  และสามารถแปลภาษาที่เราพูด บอกออกเป็นอีกภาษาหนึ่งได้  
  • สามารถสื่อสารข้ามโลกได้หลากหลายรูปแบบและรวดเร็วมาก  เช่น  สามารถจะใช้กล้องสามมิติบินได้ เป็นเหมือนโดรนเล็ก ถ่ายภาพ ๓๖๐ องศา ส่งภาพเสียงผ่านไปยังคนที่อยู่ไกลคนละฝั่งโลก  
  • คอนแทคแลนส์ ไม่เป็นเพียงปรับสายตาได้เท่านั้น แต่ยังเป็นจอแสดงผล แค่กระพริบตา ก็รับภาพเสียงที่มาจากอีกฝั่งโลกได้ 
  • ไม่เพียงแต่เห็นหน้า ฟังเสียงเท่านั้น แต่ยังเห็นเป็นคนเป็นตัว ๆ จากโฮโลแกรมด้วย  นักดนตรีหลายคน สามารถมาเล่นดนตรีเป็นวงเดียวกันผ่านระบบโฮโลแกรมได้ 
อาจารย์โชว์ความสามารถของระบบ 5G ด้วยสไลด์นี้ครับ 


ท่านบอกว่า ปีหน้า (2020)  ระบบ 5G ซึ่งขณะนี้จีนเป็นผู้นำโลก จะเข้ามาในชีวิต  สังเกตที่ความเร็วของการรับส่งข้อมูลที่จะเร็วจากเดิมเป็นแสนเท่า  เขาจะสามารถสร้างเซ็นเซอร์รับส่งข้อมูลไว้กับอุปกรณ์ทุกอย่างรอบ ๆ ตัว  นับตั้งแต่เสื้อผ้า นาฬิกา รถยนต์ พัดลม ตู้เย็น หลอดไฟฟ้า ทีวี ถังขยะ ฯลฯ  แล้วท่านก็สาธิตการเชื่อมต่อจอมือถึอขึ้นจอใหญ่ ให้ทุกคนได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่คอนโดฯ ....ฮา... 

ผมสังเกตว่า ในใจหลายคนคงจะฮือฮาทีเดียว .... แต่สิ่งที่ผุดในใจผมกับเป็นประโยคทองของ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤษฎากร ที่ว่า "เงินทองของมายา... ข้าวปลาสิของจริง" ....

ท่านอธิบายได้ดีและเห็นภาพมากว่า แต่ละเทคโนโลยีจะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของคน(เมือง) อย่างไร โดยให้ตัวอย่างของเทคโนโลยีต่อไปนี้แต่ละอัน ๆ


ขอแนะนำว่า ท่านใดที่ไม่เคยฟังท่านบรรยาย ก็หาโอกาสลองไปฟังดูครับ แต่ถ้าอยากเรียนรู้แบบประหยัดก็เปิดพาวเวอร์พอยท์ท่านและฟังคลิปเสียงบรรยาย ท่านบอกตอนท้ายบรรยายว่าท่านจะเผยแพร่แชร์ให้  ... แสดงว่าท่านไม่ได้หวงดอก .... แต่ผมว่าไปฟังเองท่าจะดีกว่า....

ยิ่งศึกษาและติดตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากเท่าใด ผมยิ่งเห็นความสำคัญที่ในหลวง ร.๙ ได้ทรงสอนไว้ ... ผมคิดว่า ประเทศเราอาจจะหลุดออกจากประเทศที่มีรายได้ปานกลาง สมดังที่ผู้นำส่วนใหญ่ในประเทศนี้กำลังจะพาไป แต่ผมมั่นใจอย่างยิ่งว่า เราจะไม่มีวันกลายเป็นประเทศผู้ผลิตเทคโนโลยีเหล่านั้น  เราจะเป็นประเทศที่ถูกหลอกให้บริโภคอย่างนี้ตลอดไป  และที่เจ็บใจทุกครั้งที่สุด คือ เราเป็นประเทศที่ถูกหลอกให้เป็นทาสผลิตอาหารให้ประเทศผู้ผลิตเทคโนโลยีกินอยู่อย่างสบาย .....

ในหลวงสอนเราว่า  ประเทศเราเป็นประเทศที่มั่งคั่งและทำให้พออยู่พอกินได้ไม่ยากเลย ... ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ยักษ์ที่ท่านว่า  อย่าไปดิ้นรนตั้งเป้าจะเอาความร่ำรวยเลย ไม่ต้องเป็นประเทศร่ำรวย จะรวยไปไหน ไม่ต้องไปสนใจกับดักรายได้ปานกลางอะไรหรอก  นั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือความเหลื่อมล้ำต่างหาก ....

ผมคิดว่า มีผู้ใหญ่หลายคนรู้เรื่องนี้ดี และกำลังขับเคลื่อนอะไรบางอย่าง ให้เรากลับมาเดินถูกทางตามที่พ่อหลวงสอนไว้ .... พออยู่ พอกิน ไม่มีใครอดอยากในประเทศสยามนี้ ....

ผมก็กำลังพยายามขับเคลื่อนเต็มกำลังของตนเองเช่นกัน....

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เข้าร่วมโครงการ สัมมนาบูรณาการการศึษษแบบองค์รวม เพื่อการพัฒาบัณฑิตที่พึงประสงค์ในศตวรรษที่ ๒๑ (๑) : "บัณฑิตคืออะไร"

วันที่ ๔-๕ กรกฎาคม ๒๕๖๒ มีโอกาสมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเครือข่ายการศึกษาทั่วไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน  (ดาวน์กำหนดการได้ที่นี่)

ผมตั้งใจอย่างยิ่งที่จะมาฟังการบรรยายของ พระอาจารย์สุบรรณ์ สิริธโร วัดถ้ำผาเกิ้ง อำเภอเวียงเก่า จังหวัดดขอนแก่น ในหัวเรื่อง "การพัฒนานักศึกษาให้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงและมีคุณธรรม"  จับประเด็นมาแลกเปลี่ยนท่านสด ๆ  ดังต่อไปนี้ครับ

  • ตอนนี้คุณภาพของมนุษย์ลดลง จนเกือบจะหมดแล้ว ท่านไปเทศน์ที่กรุงเทพฯ ... หามนุษย์แทบจะไม่เจอ 
  • ผู้นำที่ดี คือ ผู้นำที่นำแล้วพาเขาไปสู่ความสุข ความเจริญ และสำเร็จประโยชน์ในชีวิต
  • ผู้นำที่ดี ต้องมีคุณภาพสูง  เรียนรู้และเข้าถึงในการปฏิบัติของตนเอง สัมผัสถึงความรู้สึกนั้น ๆ จริง ๆ 
  • ถ้าผู้นำที่ไม่ได้ปฏิบัติด้วยตนเอง มาไปนำคนอื่น มันจะรู้สึก "เบา" ไม่เข้าถึง แต่ถ้าเข้าถึง คนฟังจะรู้สึกจริงจังขึ้นมา 
  • ตัวอย่างเช่น พระ ... พระถ้าไม่ปฏิบัติ มีแต่ปริญัติ การไปบรรยาย ก็ไม่รสชาติใด ๆ  
  • เหมือนเราไปเจอเสือในกรง กับการไปเจอเสือในป่า ความรู้สึกจะแตกต่างกันมาก... ฉันใดก็เหมือนกัน คุณภาพของมนุษย์ลดลงเยอะมาก 
  • คนอยู่ในขอนแก่นล้านสามแสนคน ก็แทบจะหามนุษย์ไม่ได้เหมือนกัน 
  • ความเป็นมนุษย์ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน ตรงที่ มีสภาวะที่เจริญได้ เป็นภูมิอันประเสริฐ 
  • มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ... พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า พวกเธอทั้งหลายจงถางป่า แต่อย่าตัดต้นไม้  ให้อากาศเตียนโล่ง อากาศระบาย ไม่มีสัตว์ร้าย อยูได้มีร่มเงา 
  • ทรงเปรียบร่างกายของมนุษย์เหมือนป่า มนุษย์ควรจะถากถางป่า ให้เหลือแต่ต้นไม้ใหญ่ เอาสิ่งที่ไม่ดีออก 
  • บัณฑิตคืออะไร.... ท่านถามให้คนในห้องประชุมตอบ 
    • ผมตอบในใจว่า  บัณฑิต คือ มนุษย์ที่สมบูรณ์ นั่นเองครับ  คือมีปัญญา รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาลเวลา รู้บุคคล รู้ชุมชน
  • ท่านเฉลยด้วยการเล่าเรื่อง .... แล้วสรุปว่า  มนุษย์มีใจสูง 
  • ใจสูงนี่เอง คือ คุณภาพที่ท่านหมายถึง  วิชาต่าง ๆ เป็นเพียงวิชาหากินเท่านั้นเอง 
  • ไม่เคยเห็นหมาตัวไหนบอกว่า ฉันยังไม่พร้อมแล้วฆ่าลูกตนเอง  แต่คนมี คลอดลูกออกมา แล้วบอกว่า ฉันยังไม่พร้อม  ฆ่าลูกตนเอง ....   
  • ผู้มีใจสูง จะเคารพบูชาบิดามารดา ผู้เป็น....
    • เป็นพระอรหันต์ของบุตร ท่านเป็นผู้ให้
    • เป็นพรหมของบุตร ท่านให้มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา 
    • เป็นเทวดาของบุตร  ท่านคอยเป็นห่วงเป็นใยตลอด
  • ผู้เคารพดูแลบิดามารดา จะได้อานิสงฆ์ 
    • ได้เกิดในทิพย์วิมาน 
    • ได้เกิดในสกุลของกษัตริย์ พระราชา 
  • ผู้มีใจสูง จะรู้จักอารมณ์ ไมเป็นทาสของ ...
    • ความโกรธ 
    • ความโลภ 
    • ความหลง 
  • ผู้มีใจสูง จะรู้จักให้อภัย ไมถือโกรธ พยาบาท 
  • ผู้มีใจสูง จะรู้สึกยินดี พอใจในความสำเร็จของผู้อื่น 
  • ผู้มีใจสูง รู้จักคุณของครูอาจารย์ 
  • ใครยังไม่เป็นผู้มีใจสูง ถือว่ายังไม่ใช่บัณฑิต ... อย่าเพิ่งไปหาคู่แต่งงาน มีครอบครัว
  • ผู้มีใจสูง ให้...
    • เรียนรู้เพื่อ ฉลาดกับตนเอง รู้จักตนเอง ... เราจะรู้จักคนอื่นทั้งหมด 
    • ถ้าเรารู้จักตนเอง ทุกคน ครอบครัว สังคม ชุมชน จะได้ประโยชน์ 
  • มนุษย์สมบัติ มี ๒ ประการคือ ทาน และ ศีล 
  • การคิดเรื่องดี ๆ  จิตจะเป็นกุศล  แต่ถ้าลงมือทำ ทำทาน จะเกิดกุศล  เปรียบการคิดเหมือนเอามีดฟันน้ำม เห็นเป็นรอย แต่ยกมีดออกก็เป็นน้ำเหมือนเดิม ...ต้องทำทานการกุศลจึงเกิด 
  • ศีล ๕ คือ ตัวเจตนาคือตัวศีล  ตั้งใจเจตนา ....
    • ไม่ทำชีวิตผู้อื่นหรือสัตว์อืนให้ตกล่วง
    • ไม่ลักขโมย
    • ไม่ประพฤติผิดในกาม
    • ไม่พูดปด ส่อเสียด หยาบ เพ้อเจ้อ 
    • ไม่ดื่มสุราเมรัย
  • การจะเป็นมนุษย์ผู้มีใจสูง ต้องฝึก ต้องหัด  
  • พระอาจารย์บวชมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๘ รวมตอนนี้ ๓๕ พรรษา  ... นับแล้วเป็นเวลาเพียงนิดเดียว สั้นมาก 
  • มนุษย์มีใจสูง จะเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ด้วย  พ่อแม่ พี่น้อย ครอบครัว ชุมชน สังคม รวมถึงในภพภูมิอื่นด้วย เปรต ผี เทวดา ฯลฯ 
  • สวรรค์สมบัติ มี ๒ อย่าง  คือธรรมของเทวดา ได้แก่ หิริ โอตัปปะ  ได้จากการบำเพ็ญสมบัติของมนุษย์จนเป็นนิสัย 
  • ดังนั้น การดำเนินชีวิตไปสู่ความเจริญนั้น เพียงวิชานั้นไม่เพียงพอ  การศึกษาต้องพาให้นิสิตมองหาประโยชน์ที่คนอื่น ๆ จะได้จากตนเอง และต้องเข้าถึงด้วยตนเอง 
  • ความสุข ของมนุษย์ที่มีใจสูง  จะเป็นความสุขที่เกิดจากความสมดุล 
  • บันฑิตควรได้ฝึกให้ใจ เป็นผู้รู้ อารมณ์ทั้งหลายเป็นผู้ถูกรู้  ท่านสอนให้มีสัมมาสมาธิ ใจตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ 
  • เมื่อฝึกไปถึงสูงสุดแล้ว จะเข้าไปสู่การเป็นอรหันต์ 
  • พระพุทธเจ้าตรัสว่า ครอบครัวใดมีศีล ๕ จะมีผู้มีบุญมาเกิด พระโพธิสัตว์ซึ่งสามารถเลือกตระกูลเกิดได้ จะมาจุติ ด้วยจะมีโอกาสได้ยิน ได้เห็น เพราะร่างกายมนุษย์ที่หยาบ จะทำให้ลืมทุกอย่างในภพก่อน 
  • มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เพราะ  สามารถบำเพ็ญและพัฒนาตนเองไปสู่เทวดา พรหม และอรหันต์ได้ 
  • เราเกิดมาชาตินี้ เราจะได้รับประโยชน์จากร่างกายของเราหรือไม่  
  • ทุกคนจะต้องพัฒนาตนเองให้ได้เป็นบัณฑิต ต้องปฏิบัติ เรียนให้รู้แล้วลงมือปฏิบัติ ปฏิบัตเพื่อการบรรเทาทุกข์ 
  • ให้ทุกคนหันมาดูตนเอง  โอปณญิโก น้อมมาดูตนเอง ..... 
ท่านเล่าว่า ตั้งใจจะบวชเพียง ๗ วัน เพื่อทดแทนบุญคุณพ่อ แต่วันสุดท้ายทำสมาธิจิตรวมใหญ่จึงได้กำลังจึงไม่สึกเลยตั้งแต่นั้นมา  ท่านเล่าประสบการณ์ในสมาธินั้นให้เราฟังด้วย  (ผมอัดคลิปเสียงไว้ ท่านใดสนใจ เชิญดาวน์โหลดที่นี่ครับ)




วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

รายวิชาศึกษาทั่วไป : ๐๐๓๒๐๐๔ ความเป็นมนุษย์และการเรียนรู้ ๒-๒๕๖๑ (๓) "Transformative Learning"

วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา ณ พิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ม.ใหม่ สำนักศึกษาทั่วไป จัดเวทีพัฒนาอาจารย์ผู้สอนรายวิชา ๐๐๓๒๐๐๔ ความเป็นมนุษย์และการเรียนรู้ และอาจารย์ที่สนใจมาจากหหลากหลายคณะ  มีอาจารย์เข้าร่วมตอนเปิดเวทีถึงกว่า ๓๐ ท่าน  ....  เนื่องจากระยะเวลาน้อยเกินไป  จึงอยากจะสรุปความเข้าใจเรื่อง "Transformative Learning"  มาแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ที่เข้าร่วมและผู้สนใจอีกครั้งหนึ่ง เผื่อจะเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ต่อไป



ผมบันทึกการอบรมพัฒนาอาจารย์เรื่องเดียวกันนี้เมื่อปีก่อนไว้ที่นี่  ความจริงอาจารย์ผู้สอนรายวิชาศึกษาทั่วไป ควรจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่ ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา มาบรรยายที่ มมส. เรา ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ Transformative Learning นี้มาก ๆ  (ผมบันทึกไว้ที่นี่และที่นี่) ... ขอสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ดังภาพล่างนี้ 


พัฒนาการด้านการศึกษาหรือการเรียนรู้ อาจจัดแบ่งออกได้เป็นยุค ๆ   ได้แก่  
  • ยุคแห่งการเรียนรู้แบบถ่ายทอดความรู้ (Informative Learning)  ที่เน้นการส่งผ่านความรู้ เรียนรู้แบบถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคน (Passive Learning) สิ่งที่สำคัญอันเป็นเป้าหมายของยุคนี้คือ "ความรู้" คนจะสนใจ 
  • ยุคของการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ ทักษะความสามารถ (Formative Learning)  จัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนมีส่วนร่วม และโดยเฉพาะการฝึกฝนให้เกิดทักษะด้านการอาชีพ (Hard Skills) 
  • ยุคของการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงภายในอย่างยั่งยืน (Transformative Learning) ที่เน้นที่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ เจตคติ เปลี่ยแปลงตนเอง  โดยเน้นการเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ อย่างใคร่ครวญด้วยใจ ผ่านการสะท้อนการเรียน (Learning Reflection) ตนเอง หรือเฝ้ามองตนเอง 
การจัดการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงภายใน มีแนวปฏิบัติสำคัญ ๆ หลากหลาย แตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดจะเน้นไปที่การสะท้อนการเรียนรู้ของตนเอง  ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น ๓ แบบ ได้แก่

  • การสะท้อนเพื่อพัฒนางงาน หรือ Reflecton for Learning  เครื่องมือที่ใช้เช่น การทำการทบทวนก่อนหลังการปฏิบัติการ BAR, AAR (ผมเขียนตัวอย่างการทำเรื่องนี้ไว้ที่นี่) ฯลฯ
  • การสะท้อนการเรียนรู้หลังกิจกรรม หรือ Reflection of Learning  โดยมุ่งไปที่การเรียนรู้ของตนเองหลังจากที่ผ่านกิจกรรมหรือทำอะไรบางอย่าง   รศ.ดร.เจริญ ไชยคำ ปรมาจารย์ด้านจัดการความรู้ท่านหนึ่ง ท่านใช้คำว่า After Learning Reflection หรือ ALR 
  • การสะท้อนการเรียนรู้ให้เกิดการเรียนรู้  หรือ Reflection as Learning  คือ ใช้กิจกรรมสะท้อนการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้  เช่น การสะท้อนการเรียนรู้หเรื่องต่าง ๆ  แลกเปลี่ยนแบ่งปันกันในวงสุนทรียสนทนา ฯลฯ 
ผมสรุปตรงไว้สั้น ๆ  ดังนี้ก่อนว่า  ถ้า...
  • การสอนแบบบรรยาย ก็คือ การสอนแบบ Informative Learning 
  • การสอนฝึกทักษะ แบบฝึก โครงการ แก้ปัญหา Project-based , Problem-lbased, Work-based, Service-based, Community-based ฯลฯ เหล่านี้ทั้งหมด  คือการสอนในยุค Formative Learning ถ้ายังไม่มีการสะท้อนการเรียนรู้ที่ถูกต้อง 
  • การสะท้อนการเรียนรู้ ด้วยใจที่ใคร่ครวญ นั่นเอง ที่จะนำทำไปถึง Transformative Learning
สรุป Transformative Learning ก็คือ การปฏิบัติธรรม ด้วยกรรมกระบวนการต่าง ๆ นั่นเอง 

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2562

รายวิชาศึกษาทั่วไป : ๐๐๓๖๐๐๖ ภาวะผู้นำ ๓-๒๕๖๑ (๑) "SWOT มหาวิทยาลัยของฉัน"

มองในอีกมุมหนึ่งก็เป็นโอกาสเหมาะยิ่ง ที่ ผศ.ดร.ธรินธร หัวหน้าภาควิชาบริหารการศึกษา อาจารย์ผู้ประสานงานรายวิชานี้ ท่านขอเปิดสอนรายวิชา ๐๐๓๖๐๐๖ ภาวะผู้นำ ในภาคการศึกษาพิเศษนี้ เนื่องด้วยอาจารย์ผู้สอนจะมีเวลามากขึ้น อาจารย์จะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ทำ PLC เพื่อพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนรู้รายวิชานี้ให้ดีขึ้น

ปีการศึกษาพิเศษนี้ เรายังใช้เอกสารประกอบการสอนฉบับเดิม (ดาวน์โหลดได้ที่นี่)  แต่เราปรับแผนการเรียนรู้ใหม่ และขอแก้ไขไปยังบอร์ดบริหารของ GE (สำนักศึกษาทั่วไป) ว่าเทอมนี้เราจะเน้นไปที่การจัดการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน (Project-based Learning) จึงขอปรับไม่ให้มีการทดสอบปลายภาคแล้ว แต่กิจกรรมสำคัญ ๆ ยังนำมาใช้กับการปลูกฝังภาวะผู้นำ โดยเฉพาะ "ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง" เช่นเดิม

บันทึกนี้ขอนำผลการระดมสมองของนิสิตในการวิเคราะห์ SWOT หรือ วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ของมหาวิทยลัยมหาสารคาม ในมุมมองของนิสิต ดังต่อไปนี้ครับ

๑) กลุ่ม เช เกวรา


  • จุดแข็ง
    • เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชน ทำให้ได้สัมผัสชุมชนจริง นำองค์ความรู้ไปใช้จริงในการทำงาน 
    • มีวิชาศึกษาทั่วไปที่เกี่ยวกับข้องกับศิลปวัฒนธรรมอีสาน ทำให้ได้เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมอีสานมากขึ้น 
    • มีอิสระในการแต่งกาย ไม่มีข้อจำกัดด้านเพศสภาพ
    • มีหน่วยงานที่ส่งเสริมทางวิชาการ วิจัย ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น  
    • มีห้องบริการให้ออกกำลังกายฟรี 
    • มีคณะหมอลำที่โด่งดัง
    • มีวิชาการเมืองการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของภาคอีสาน 
  • จุดอ่อน
    • บุคลากรไม่เพียงพอ ไปศึกษาต่อจำนวนมาก 
    • วิทยาเขต ๒ แห่งอยู่ไกลกัน อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุบนถนน
    • ห้องสมุดมหาวิทยาลัยมีขนาดเล็ก จำนวนหนังสือไม่มาก
    • อุปกรณ์ทำการทดลองไม่เพียงพอ
    • ถังขยะน้อย 
    • ไม่กล้าทุ่มงบประมาณในการจัดกิจกรรม
    • ระบบการขนส่งของมหาวิทยาลัยไม่ครอบคลุม
    • ระบบลงทะเบียนไม่มีประสิทธิภาพ 
  • โอกาส
    • มีห้างสรรพสินค้าเพียงไม่กี่แห่ง ทำให้ประหยัดได้ 
    • ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของภาคอีสาน จึงใกล้และสะดวกสำหรับนิสิตที่มีภูมิลำเนาอยู่อีสาน
    • ค่าครองชีพราคาถูก 
    • มีการตั้งด่านตรวจจราจรบ่อย ทำให้ระวังมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ 
    • มีการทำงานใกล้ชิดประชาชน 
  • อุปสรรค
    • น้ำท่วมบ่อย เนื่องจากท่อระบายน้ำไม่ดี
    • มีฝุ่นละอองเยอะ เนื่องจากกำลังพัฒนา 
    • ทางเท้าไม่สะอาด และชำรุดในบางจุด
    • งบประมาณไม่เพียงพอ 
    • บุคลากรไม่ลงมาดูแลกิจกรรมของนิสิต
    • น้ำเน่าเสีย
    • บุคลากรไม่มีวินัยทางจราจร
วิพากษ์การวิเคราะห์ SWOT ของกลุ่ม เช เกวรา

เป็นการวิเคราะห์ SWOT ที่ใช้ได้ทีเดียว แต่ยังมีบางส่วนที่สลับสับกันระหว่างปัจจัยภายนอกกับปัจจัยภายใน  จงจำว่า 
  • จุดแข็งและจุดอ่อน คือการวิเคราะห์ปัจจัยภายใน  วิเคราะห์เกี่ยวกับ ทุนและทรัพยากรของเรา อาจใช้หลักการพิจารณา 4MIT ในการวิเคราะห์คือ ให้วิเคราะห์  คน (Man) วัตถุ (Material) การจัดการ (Management) เงิน (Money) และเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่  
  • โอกาศและอุปสรรค คือการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก ข้อความตัวอักษรสีแดง  ส่วนใหญ่ควรจะนำไปไว้ในปัจจัยภายในมากกว่า ครับ 

๒) กลุ่ม บารัค โอบามา



  • จุดแข็ง
    • นิสิตที่จบไปมีจำนวนมาก มีรุ่นพี่ศิษย์เก่าที่ทำงานอยู่จำนวนมาก 
    • อาคารเรียนมีระยะกล้กัน 
    • สถานที่รับปริญญามีความกว้างขวาง
    • มีศูนย์หนังสือของมหาวิทยาลัย 
    • เทคโนโลยีสารสนเทศทันสมัย
    • มีตลาดในสถานศึกษาที่ขายสินค้าราคาถูก
    • มีเส้นจราจรสำหรับจักรยาน 
    • มีพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์
    • มีพิพิธภัณฑ์ผ้าไหม
    • อยู่ใกล้ชุมชน 
  • จุดอ่อน
    • ควรจัดตารางเรียนให้เด็ก ถ้าจะเปลี่ยนเป็นระบบเหมาจ่าย
    • ระบการลงทะเบียนล่ม
    • บุคลากรขาดคุณสมบัติ 
    • อาจารย์บางคนขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์
    • แบบสอบถามหรือประเมินอาจารย์ ควรจะรับฟังและยอมรับไม่เข้ามาก้าวก่าย (สิทธิ์)
    • บางหลักสูตร อาจารย์ไม่มีความเชี่ยวชาญในหลักสูตรนั้น 
    • การจัดการเรียนการสอนไม่เหมาะสม คือ ไม่ควรมีสอบในวันเสาร์-อาทิตย์ และมีการสอนที่เช้าหรือดึกเกินไป 
    • มหาวิทยาลัยไม่ค่อยสนับสนุนกีฬาเอ็กซ์ตรีม
    • คอมพิวเตอร์ไม่มีความทันสมัยหรือชำรุดมาก
    • ห้องเรียนชั้น ๗ ดึก RN มีขาดเล็ก 


  • โอกาส
    • มีนิสิตจำนวนมาก จึงมีโอกาสสร้างรายได้ระหว่างเรียนได้ง่าย
    • มีร้านเหล้าและร้านนมจำนวนมาก ที่สนับสนุนให้นิสิตทำงานพาร์ทไทม์
    • ปี ๓-๔ คณะวิทยาศาสตร์ ได้เรียนรู้แบบภาษาสากล ทั้งหนังสือและการเรียนการสอนแบบพิเศษ
    • มีนิสิตแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศจำนวนมาก
    • มีทักษะในการขับขี่ 
    • ตำรวจตั้งด่านเยอะ เพิ่มทักษะในการขับขี่หนีหลายทางพบใหม่  
  • อุปสรรค
    • ม.เก่า ม.ใหม่ ไกลกัน
    • ตลาดน้อยรองรับนิสิตได้น้อย
    • ไฟฟ้า ม.เก่า ไม่เพียงพอ 
    • ที่จอดรถ ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
    • ลิฟต์ อาคารราชนครินทร์ ชอบค้าง ชำรุดบ่อย
    • ขยะเยอะ ที่ทิ้งขยะน้อย 
    • ถนนภายนอก ภายใน ชำรุด ห้องนำชำรุด 
    • รถรางควรวิ่งให้ทั่วระหว่าง ม.เก่า - ม.ใหม่ 
    • สถานที่ออกกำลังกายชำรุด (เก่า) 
วิพากษ์การวิเคราะห์ SWOT ของกลุ่ม โอบามา
  • ข้อความที่เป็นตัวอักษรสีแดง เป็นการ SWOT ที่ไม่ดี  ส่วนใหญ่จะมุ่งไปเป็นปัญหา การวิเคราะห์ SWOT ไม่ใช่การวิเคราะห์ปัญหา ไม่ใช่การวิเคราะห์สาเหตุปัญหา แต่เป็นการวิเคราะห์สิ่งที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เพื่อที่จัดการกับปัญหาหรือพัฒนาองค์กรหรือหน่วยงาน หรือทีมของผู้วิเคราะห์ ... อย่างไรก็ดี เนื่องจากการมอบหมายงาน การวิเคราะห์ SWOT ของ "มหาวิทยาลัยของฉัน" โดยไม่ได้กำหนดว่า ให้วิเคราะห์ไปเพื่ออะไร  ทำให้การวิเคราะห์ออกมาไม่ชัดเจน  
  • การวิเคราะห์ SWOT เป็นเรื่องจริงจัง การเขียนวิเคราะห์เชิงประชดประชัน ไม่ใช่เรื่องที่ดี (ใบางหัวข้อ เช่น  การตั้งด่านตำรวจ)
  • การวิเคราะห์โอกาสและอุปสรรค ส่วนใหญ่ทำไม่ถูกต้อง ดูที่ตัวอักษรสีเขียว เป็นการวิเคราะห์ที่ผิดในประเด็นเดียวกับกลุ่มที่แล้ว  เพราะเป็นปัจจัยภายใน ควรจะเป็นจุดแข็งหรือจุดอ่อนมากกว่า 

๓) กลุ่ม นโปเลียน โบนาปาร์ต



  • จุดแข็ง
    • เป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังที่พัฒนานิสิตให้มีคุณภาพ
    • มีการจัดการศึกษาที่เป็นสากล
    • มีหลักสูตรการเรียนการสอนที่ทันสมัย
    • มีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เป็นอัตลักษณ์ 
    • คณาจารย์ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ มีการพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
  • จุดอ่อน
    • สภาพแวดล้อมรอบ ๆ มหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยแหล่งอบายมุข
    • หลักสูตรนานาชาติและนักศึกษาต่างชาติน้อย
    • ภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัย ไม่เป็นที่รู้จัก 
    • กฎระเบียบในมหาวิทยาลัยไม่เคร่งครัด
    • คณาจารย์ไม่เพียงพอ 
  • โอกาส
    • มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในท้องถิ่น ไม่ไกลบ้าน
    • มีกองทุนกู้ยืมการศึกษา
    • สภาพแวดล้อมเอื้อต่อการศึกษา
    • บุคลากรให้ความสำคัญกับการบริหารงานที่โปร่งใส
    • สังคมให้ความสำคัญต่อการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 
  • อุปสรรค
    • การแข่งขันทางสถาบันมากขึ้น  
    • รอบมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยแหล่งอบายมุข
    • ฝนตกหนัก น้ำท่วมบ่อย ระบบระบายน้ำไม่ดี
    • การเดินทางไปมหาวิทยาลัยไม่สะดวก
    • ลิฟต์เสียบ่อย 
วิพากษ์การทำ SWOT ของกลุ่มนโปเลียน
  • กลุ่มนี้ไม่น่าจะได้ระดมสมองกันจริง  เพราะ SWOT ที่ทำมา ซ้ำ (คัดลอก) มาจากการทำ SWOT ของมหาวิทยาลัย เกือบทุกข้อ  และยังเป็นการทำ SWOT ไม่ถูกต้องบางอัน (อันที่ตัวอักษรสีแดง)
  • (หากกลุ่มนี้อยากจะได้คะแนนเต็มเหมือนกลุ่มอื่น ต้องไประดมสมองกันทำ SWOT มาส่งใหม่ครับ) 
๔) กลุ่มเนลสัน แมนเดลลา



  • จุดแข็ง
    • มีพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์
    • ติดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศ
    • มีนิสิตต่างชาติมาเรียนมากกว่า ๑๐ ประเทศ
    • เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชน 
    • มีแผนผังเป็นวงกลม ง่ายต่อการเดินทาง 
    • มีต้นไม้เยอะ
    • มีสวนสัตว์
    • มีสวนหม่อน
    • มีรถราง 
    • มีระบบสื่อสารที่ดี เช่น MSU TV page Facebook ฯลฯ
    • มีศูนย์ภาษา ใต้ตึก RN 
  • จุดอ่อน
    • ค่าเทอมแพงกว่าอดีต
    • ตลาดน้อยไม่มีการทดสอบอานามัย 
    • ห้องน้ำไม่สะอาด
    • ที่จอดรถไม่พอ
    • โต๊ะเก้า
    • อี้ชำรุด
    • มีขยะเยอะ และน้ำเน่าเสีย
    • ถังขยะน้อย
    • นิสิตไม่ค่อยเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัย
    • มหาวิทยาลัยต้องแข่งขันกับมหาวิทยาลัยอื่น 
  • โอกาส 
    • มหาวิทยาลัยเปิดโอกาสนิสิตแสดงออก
    • มีการส่งเสริมพัฒนาด้านภาษาอังกฤษ
    • มีทุนการศึกษา
    • เปิดโอกาสให้นิสิตเข้าร่วมกิจกรรมวัฒนธรรม
    • เปิดโอกาสให้นิสิตไปต่างประเทศ
    • เปิดโอกาสให้นิสิตสร้รางความสัมพันธ์กับนิสิตต่างชาติ 
  • อุปสรรค
    • น้ำท่วม ระบายไม่ทัน
    • ถนนไม่เหมาะต่อการสัญจร
    • แหล่งเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะมีน้อย
    • ถนนหน้ามหาวิทยาลัยมีฝุ่นเยอะ
    • ไม่ทำตามกฎจราจร
    • ระบบขนส่งไม่เพียงพอ
    • ถนนชำรุด 
    • สถานบันเทิงรอบมหาวิทยาลัยเยอะ
    • สภาพอากาศ ฝุ่นละอองเยอะ 
วิพากษ์การทำ SWOT ของกลุ่มเนลสัน แมนเดลลา
  • การวิเคราะห์จุดแข็งทำได้ดีครับ ขาดแต่เพียงความชัดเจน ให้เหตุผลเพิ่มขึ้น
  • การวิเคราะห์จุดอ่อน ไม่ดี เพราะส่วนใหญ่มุ่งไปที่ปัญหา และสาเหตุของปัญหาด 
  • การวิเคราะห์โอกาส ไม่ถูก ทั้งหมดเป็นปัจจัยภายใน การวิเคราะห์โอกาสต้องดูปัจจัยภายนอก
  • การวิเคราะห์อุปสรรค ถูกต้องว่าเป็นปัจจัยภายนอกทั้งหมด แต่ยังขาดความชัดเจนว่า พื้นที่ใด ในแต่ละข้อ ที่เป็นอุปสรรค 
๕) กลุ่มพระเจ้าอโศกมหาราช



  •  จุดแข็ง
    • อาคารเรียนตั้งอยู่ใกล้กัน เดินไปมาได้
    • อยู่ใจกลางอีสานและอยู่กลางชุมชน
    • เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชน
    • ให้อิสระการแต่งกายต่อเพศสภาพ
    • มีสนามกีฬาเพียงพอต่อการออกกำลังกาย
    • มีแผนผังมหาวิทยาลัยสวยงาม
  • จุดอ่อน
    • ระบบอินเตอร์เน็ตไม่ทั่วถึง
    • ห้องเรียนไม่สะอาด จอโปรเจ็คเตอร์ไม่ชัด 
    • สถานที่อ่านหนังสือไม่เพียงพอ
    • ตลาดน้อยไม่สะอาด
    • ลิฟต์ตึก RN ไม่ดี
    • ค่าเทอมเหมาจ่ายแพงไป 
  • โอกาส 
    • มีกองทุน กยศ. ให้กู้ยืม
    • มีการแลกเปลี่ยนนิสิตต่างชาติ
    • มีเครือข่ายศิษย์เก่าเยอะ
    • มีทุนการศึกษาหลากหลาย 
  • อุปสรรค
    • ระบบระบายน้ำไม่ดี
    • ถนนขุขระ
    • แดดร้อนและฝุ่นเยอะ
    • ขยะในชุมชนรอบมหาวิทยาลัย
    • การจอดรถไม่เป็นระเบียบ
    • พื้นที่มหาวิทยาลัยมีจำกัด
วิพากษ์การทำ SWOT ของกลุ่มพระเจ้าอโศกมหาราช
  • การวิเคราะห์ปัจจัยภายใน-ภายนอก ทำได้ถูกต้องครับ  
  • ตัวอักษรสีแดง ให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจน ควรเติมเหตุผลเพิ่มเติม หรือระบุพื้นที่ให้ชัดเจน  ให้แตกต่างกับการบอกปัญหาหรือระบายปัญหา 
๖) กลุ่มพรเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช



  • จุดแข็ง
    • มีสภาพแวดล้อม ทำเลที่ตั้ง เหมาะสมต่อการขยายตัวในอนาคต อาคารเรียน สถานที่กว้างขวาง มีความทันสมัย
    • มีห้องสมุดที่ทันสมัย เอื้อต่อการเรียนรู้ของนิสิต
    • มีระบบฐานข้อมูลที่สำคัญ เพื่อใช้ในการประเมินคุณภาพของนิสิต
    • ที่ระบบสื่อสารภายใน-ภายนอกที่ดี เช่น MSUTV เว็บไซต์ เฟสบุ๊คมหาวิทยาลัย ฯลฯ
    • มีหลักสูตรเฉพาะด้านเกี่ยวกับอาเซียน เช่น ลาว เขมร เวียดนาม ฯลฯ 
  • จุดอ่อน
    • ภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยยังไม่เป็นที่ยอมรับ
    • กระบวนการคัดเลือกนิสิตยังขาดประสิทธิภาพ
    • หลักสูตรนานาชาติยังมีน้อย
    • ขาดการกำกับดูแลที่ดีในการปฏิบัติอย่างจริงจัง
    • ขาดการบูรณาการการทำงาน 
  • โอกาส
    • ค่านิยมในการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยท้องถิ่นดี
    • การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทำให้มีโอกาสสร้างการรับรู้ไปนักศึกษาต่างชาติ
    • สภาพแวดล้อมและสังคมที่เอื้อต่อการพัฒนา
    • มีโครงการกู้ยืมเงินทางการศึกษา
    • สามารถเลือกอาจารย์ที่อยากลงทะเบียนได้ และเลือกอาจารย์ผู้สอนได้ 
  • อุปสรรค
    • สภาพแวดล้อมรอบ ๆ มหาวิทยาลัยมีแหล่งอบายมุขมาก
    • เน้นการปล่อยกู้ยืมเงินทางการศึกษา ในสาขาที่ขาดแคลน ควรให้โอกาสสายอื่นด้วย
    • งบประมาณที่มหาวิทยาลัยได้รับลดลง
    • ทางระบายน้ำไม่ไดี 
วิพากษ์การทำ SWOT ของกลุ่มพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
  • น่าจะไม่ได้เกิดจากการระดมสมองและคิดเองจากสมาชิก เพราะอ่านแล้ว ส่วนใหญ่เหมือนการกับการทำ SWOT ของมหาวิทยาลัย ... หากอยากจะได้คะแนนเต็มเหมือนกลุ่มอื่น ๆ ต้องประชุมวิเคราะห์กันใหม่ นำมาส่งใหม่นะครับ 
๗) กลุ่มอับราฮัม ลินคอล์น 


  •  จุดเด่น
    • อยู่ใกล้ชุมชน
    • เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว
    • มีศูนย์การเรียนรู้ ทางการวิจัย และวิชาการ
    • นิสิตมีคุณภาพและประสิทธิภาพในการทำงาน
    • เป็นมหาวิทยาลัยที่ส่งเสริมประเพณี วัฒนธรรม
  • จุดอ่อน
    • ม.ใหม่ อยู่ไกลตัวเมือง
    • หลักสูตรน้อย .... (ไม่จริงมั้งครับ)
    • นิสิตมีจำนวนมากเกินไปในแต่ละชั้นเรียน
    • กฎระเบียบไม่ค่อยเคร่งครัด
    • อาจารย์ผู้สอนน้อย
  • โอกาส
    • บุคลากรผู้สอนมาจากหลายแห่ง
    • มีการแลกเปลี่ยนนิสิต
    • มีการให้ทุนไปต่างประเทศ
    • มี กรอ. กยศ.
    • มีการเปิดอาเซียน
  • อุปสรรค
    • พื้นที่มหาวิทยาลัยมีจำกัด
    • การคมนาคมไม่สะดวก
    • น้ำท่วม ระบบระบายน้ำไม่ดี
    • สถาบันเทิงเยอะ
    • ลิฟต์อาคาร RN ใช้ไม่ได้ 
วิพากษ์การทำ SWOT ของกลุ่มอับราฮัม ลินคอล์น

  • ยังวิเคราะห์ปัจจัยภายใน-ภายนอก ไม่ถูกต้อง  ข้อความที่เขียนเป็นตัวอักษรสีแดง 
  • การวิเคราะห์ไม่ชัดเจน เช่น ข้อความที่ตัวอักษรสีเหลืองขนุน 
๘) กลุ่มจอร์จ วอชิงตัน 


  • จุดแข็ง 
    • อาคารเรียนใกล้กัน เดินทางสะดวก
    • ให้อิสระทางเพศสภาพ
    • google drive  ให้พื้นที่มาก
    • มีโรงเรียนในเครือของมหาวิทยาลัย
    • มีโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย
    • มีสนามกีฬาให้นิสิตออกกำลังกายเพียงพอ
    • องค์กรนิสิตเน้นเรื่องการสร้างคุณธรรม จริยธรรม
    • มีการใช้พลังงานทางเลือก
  • จุดอ่อน
    • ที่จอดรถไม่เพียงพอ
    • พื้นที่อ่านหนังสือไม่เพียงพอ
    • ห้องนำชำรุดเยอะ
    • อุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐาน
    • คณะนิติศาสตร์ไม่มีตึกเป็นของตนเอง
    • ตลาดน้อยไม่ได้มาตรฐาน
    • แอร์ในห้องเรียนไม่ค่อยเย็น
    • Wi-Fi ไม่แรง
    • ลิฟต์ตึก RN ชำรุดบ่อย
    • โต๊ะเรียนชำรุด 
  • โอกาส
    • มีกองทุนการศึกษาหลากหลาย
    • มีที่พักจำนวนมากใกล้มหาวิทยาลัย
    • รับนิสิตจำนวนมาก
    • มีสาขาและคณะหลากหลาย
    • มีปฏิทินการศึกษาละเอียด ชัดเจน
    • มีทุนวิจัย
    • อยู่ใกล้ชุมชน
    • เป็นมหาวิทยาลัยเปิด ... (เอ๋... เรายังไม่ได้เป็นมหาวิทยาลัยเปิดครับ)
    • เป็นมหาวิทยาลัยเครือข่าย ....(เครือข่ายอะไรหนอ)
  • อุปสรรค
    • ระยะทาง ม.เก่า - ม.ใหม่ ไกลกัน เดินทางไป-มา ไม่สะดวก 
    • ยุงเยอะ
    • เด็กแว้นเยอะ
    • ถนนเป็นหลุม มีฝุ่น
    • มีการโจรกรรม รถจักรยานยนต์
    • ระบบ Reg ไม่ได้มาตรฐาน
    • ทุนการศึกษาไม่เพียงพอ
    • มีสนุขจรจัด จำนวนมาก
    • ค่าเทอมของระบบเหมาจ่ายสูงเกินไป 
วิพากษ์การทำ SWOT ของกลุ่มจอร์จ วอชิงตัน
  • ยังวิเคราะห์ปัจจัยภายใน-ภายนอก ไม่ถูกต้อง  โอกาสและอุปสรรค ต้องเป็นปัจจัยภายนอก ข้อที่เป็นอักษรสีแดง คือข้อที่ต้องปรับปรุงครับ 
  • ปัญหาการเขียนที่ไม่ชัดเจน 
  • การวิเคราะห์จุดอ่อนอาจใกล้เคียงกับการมองปัญหา แต่การระดมปัญหาไม่ใช่การทำ SWOT ... ที่นิสิตเขียนข้อความที่เป็นสีเปลือกขนุน ไม่ค่อยชัดว่าเป็นจุดอ่อน ... อย่างไรก็ดี อาจเนื่องเพราะอาจารย์ไม่ได้กำหนดเป้าหมายว่าทำ SWOT ไปทำอะไร คือไม่ได้กำหนดเป้าหมายชัด จึงไม่อาจบอกว่าผิดครับ 

สรุป นิสิตเขียน SWOT ได้ดีหลายกลุ่ม แต่ปัญหาหลักคือการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก-ภายใน และความชัดเจนในการเขียน  ขอให้นิสิตบางกลุ่มที่คัดลอกมา ให้ไประดมสมองกันมาใหม่นะครับ 




วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2562

รายวิชาศึกษาทั่วไป : ๐๐๓๒๐๐๔ ความเป็นมนุษย์และการเรียนรู้ ๒-๒๕๖๑ (๑) "ห้องเรียน ๔ อริยาบท"

ปีการศึกษา ๒-๒๕๖๑ เป็นปีการศึกษาที่ ๒ ที่เราปรับเปลี่ยนสถานที่จัดการเรียนรู้มาอยู่ตึก B(408-409) (อาคารบี สำนักคอมพิวเตอร์) เป็นห้องเรียนสำหรับการจัดการเรียนรู้แบบ "๔ อริยาบท" ยืน เดิน นั่ง นอนได้ ไม่มีเก้าอี้ มีเบาะและเสื่อปูนั่ง ดังรูป







การจัดการเรียนการสอนแบบ "๔ อริยาบท" ผู้สอนต้องทำความเข้าใจและร่วมกันสร้างเงื่อนไขกับผู้เรียนตั้งแต่ต้นเทอมให้ดี เพราะนิสิตจะคุ้นชินกับการนั่งเรียนเขียนบนเก้าอี้เลคเชอร์  นั่นหมายถึงอาจารย์ผู้สอนต้องปรับวิธีการสอนไปของตนเอง มิเช่นนั้น จะได้ข้อความคอมเมนต์ของนิสิตเกี่ยวกับเก้าอี้ทันที

สำหรับผมแล้ว รายวิชานี้มีจุดเด่นประเด็นหนึ่งคืออิสระในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้สอน เรามีกิจกรรมหลัก ๆ เขียนเป็นแนวทางไว้ แต่อาจารย์แต่ละท่านสามารถออกแบบกิจกรรมเพิ่มเติมได้ ตราบใดที่มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ ผลการเรียนที่คาดหวังของรายวิชา

ขอยกตัวอย่าง ...  ขอแลกเปลี่ยน... นำเอาบางกิจกรรมมาแบ่งปัน เผื่ออาจารย์ท่านอื่น ๆ จะนำไปใช้หรือให้คำแนะนำ  และเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นว่าเราจัดกิจกรรมแบบ "ยืน เดิน นั่ง นอน" จริง ๆ

อริยาบทยืน

ขอยกตัวอย่างกิจกรรมนำเข้าสู่ความสงบ นำเข้ามาสู่การรู้สึกตนเอง ผ่านการเรียนรู้ฐานกาย จุดมุ่งหมายคือให้เข้าใจ (เบื้องต้น) ด้วยประสบการณ์ตรงของตนเอง ในประเด็นดังนี้

  • การคิด กับ การรู้สึก ไม่เหมือนกัน แยกจากกัน เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน 
  • ความทุกข์คือทนอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง) ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง (อนิจจัง) และห้ามไม่ได้จริง (อนัตตา) ...  แค่ยกมือประสานเหยีดแขนตรงไว้ท่วมหัว ค้างไว้จนกว่าจะทนไม่ได้ นิสิตจะเข้าใจได้ไม่ยาก
  • รวบจิตใจ รวมจิตใจ ให้มีสมาธิมาอยู่กับตัว (กับกาย) โดยใช้ท่าทางประกอบกับการหายใจ โดยออกแบบท่าโดยยึดลักษณะของทรวงอกหดขยาย  เช่น กางแขนแล้วค่อย ๆ ยกขึ้น พร้อมสูดลมหายใจเข้า ค่อย ๆ วางมือลงพร้อมปล่อยลมหายใจออก สังเกตความรู้สึก ... เป็นต้น 
อีกกิจกรรมที่ผมทำบ่อย ๆ ได้ผลทุกครั้ง คือ กิจกรรมส่งสารสัมผัส เคยเขียนอธิบายไว้ที่นี่ สนใจเชิญนำไปลองทำดูครับ 




อริยาบทเดิน

ขอยกตัวอย่าง ๒ กิจกรรม ที่ทำแล้วรู้สึกได้ผลดีเสมอ คือ "มดไต่ขอบกระด้ง"  "ความไว้ใจ" และ "อะไรคือเป้าหมายของชีวิต ดังจะอธิบายพอสังเกตได้ดังนี้

"มดไต่ขอบกระด้ง"

กิจกรรม "มดไต่ขอบกระด้ง"  เริ่มด้วยการให้นิสิตเดินไปตามใจอิสระ ด้วยความเร็วเท่าใดก็ได้ กำชับให้ทุกคนต้องเดิน ไม่ได้อยู่กับที่ เมื่อผ่านไปสักนาทีแล้วให้หยุดเป็นระยะเพื่อทักทายทำความรู้จักกับเพื่อนที่อยู่ใกล้ในแต่ละครั้งที่หยุด ผ่านการหยุดไปครั้งที่ ๓  ให้สั่งเดินไปเรื่อย ๆ โดยไม่หยุด และสุ่มนิสิตสัก ๒-๓ คน ที่น่าจะพูดสะท้อนได้ดีแอบออกมายืนสังเกตลักษณะการเดินของเพื่อน แบบไม่ให้นิสิตที่กำลังเดินรู้ตัว โดยให้เดินไปจนเห็นทิศทางการเดิน แล้วสั่งหยุดนั่งพักตามสบาย สะท้อนการเรียนรู้ด้วยการตั้งคำถามกับนิสิตที่สุ่มมาเป็นผู้สังเกต ว่า ลักษณะการเดินเป็นอย่างไร เห็นอะไร คิดอย่างไร ก่อนจะสรุปตอนท้ายกิจกรรม



นิสิตส่วนใหญ่จะเดินเป็นวงกลมหรือวงรีตามรูปลักษณะของห้อง ตั้งคำถามกับนิสิตว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น อะไรเป็นตัวกำหนด เชื่อมโยงมาสู่ชีวิตที่นิสิตต้องคิดทำในแต่ละวัน แต่ละปี ทุกสิ่งอย่างที่ทำ ใครเป็นคนกำหนด เราได้กำหนดเองหรือไม่ หากเปรียบคล้ายกับมดที่กำลังไต่บนขอบกระด้งหรือไม่ ไต่ไปโดยคิดแต่เพียงว่าจะไปข้างหน้า โดยไม่เข้าใจว่าไม่มีจุดหมายใด  เวียนวนไปอย่างไรปลายทาง

สุดท้าย ให้สรุปเชื่อมโยงกับชีวิตการเรียนของนิสิต การคิด การดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ต้องหันมาทำความรู้จักตนเอง และเป้าหมายของตนเอง ต้องไม่เป็นเหมือนมดที่กำลังไต่บนขอบกระด้ง

ความไว้ใจ 

วิธีนี้นิยมทำกันทั่วไป (ทั่วโลก) ให้จับคู่กัน คนหนึ่งปิดตาหรือหลับตา ให้อีกคนหนึ่งพาเดินไป สมมติเหมือนเป็นผู้ดูแลคนตาบอด พาเดินออกนอกห้องไป เวียนวนไปกลับมาที่เดิม  แล้วสลับคนหลับตา  สุดท้ายมารวมกันสะท้อนการเรียนรู้ในชั้นเรียน



สิ่งสำคัญคือ ความรู้สึก แลกเปลี่ยนถึงสภาวะของจิตใจ  เช่น ความกลัว ความชอบ ความกล้า ฯลฯ  ก่อนจะถกกันสุดท้ายว่า "ความไว้ใจ" คืออะไร สำคัญอย่างไร และจะนำไปปรับใช้อย่างไรในชีวิต

อะไรคือเป้าหมายของชีวิต

กิจกรรมเริ่มโดยให้เดินไปรอบ ๆ แบบอิสระไม่มีข้อกำหนดใด ๆ ทั้งทิศทางและความเร็ว แล้วสั่งให้หยุดและเติมเงื่อนไขคงไปทีละข้อดังนี้

  • เดินอิสระ.... หยุด ทำความรู้จักเพื่อนที่อยู่ใกล้สุด 
  • เดินต่อ... หยุด ... จดจำที่ที่อยู่ไว้ ได้ยินคำว่าหยุดครั้งต่อไป ให้กลับมายืนที่เดิม 
  • เดินต่อ... หยุด ... ให้จดจำตำแหน่งไว้ ออกเดินครั้งต่อไป ต้องกลับมาหายใจที่นั่น ขณะเดินต้องกั้นลมหายใจ เมื่อลมหายใจจะหมดต้องกลับมาหายใจที่ตำแหน่งนั้น เรียกว่า "บ้าน" 
  • สุ่มเลือกนิสิตมา ๔ คน คนหนึ่งสมมติแต่ละคนเป็นสิ่งที่คนสมัยนี้ต้องการ ได้แก่ 
    • คนที่ ๑ เงินทอง ทรัพย์สิน บ้าน ที่ดิน 
    • คนที่ ๒ ชื่อเสียงเกียรติยศ 
    • คนที่ ๓ อำนาจ บริวาร ลูกน้อง 
    • คนที่ ๔ ความสุข 
  • เดินออกจาก "บ้าน" ไป ต้องไม่หายใจ อยากได้อะไรให้เดินไปแตะตัวเพื่อนเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งเหล่านั้น ซึ่งกำลังเดินไปทั่วห้องเช่นกัน 
เปิดโอกาสให้นิสิต ๒-๓ คน ได้สะท้อนการเรียนรู้หรือความต้องการของตนเอง อภิปรายว่าทำไมต้องการสิ่งนั้น ๆ ก่อนจะร่วมกันสรุป  ผลสรุปสุดท้าย แท้จริงแล้วเราทุกคนก็เพียงแต่หวังเป็นสุข ความสุข เท่านั้นเอง 

อริยาบทนั่ง


ทุกกิจกรรมหลังเสร็จจากการยืน/เดิน/นอนแล้ว เราจะนั่งจับกลุ่มล้อมวงกันทำ "สุนทรียสนทนา" (Dialouge) กัน ดังนั้น กิจกรรมนั่งจึงทำเกือบจะตลอดภาคเรียน  เป็นการฝึกฟังอย่างจริงจัง  ด้วยกลวิธีการเติมเพิ่มเงื่อนไขที่ละอย่าง ๆ เข้าไปในกลุ่ม เพื่อฝึก

  • ให้คุยกันตามสบายคนละ ๒ นาที  ... จับเวลารวมประมาณ ๘ นาที แล้วตีระฆัง หรือเมื่อเงียบเสียงคุย 
  •  ก่อนจะคุยของวันนั้น ให้กล่าวคำว่า "เช็คอิน" (Check-in) ก่อนเสมอ 
  • กำหนดวัตถุศักดิ์สิทธิ์ เช่น ปากกาศักดิ์สิทธิ์ ก้อนหินศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ  ให้แต่ละคนตั้งกติกาด้วยศรัทธาว่า จะคุยอย่างจริงจัง จริงใจ ชื่นชม ไม่ตัดสิน ฟังอย่างรู้ตัว และจะไม่พูดสิ่งใด ๆ เว้นแต่จะเป็นใครที่ถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ 
  • ก่อนจะเอื้อมมือไปจับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ หลังจากตัดสินใจ ให้ประวิงเวลาไว้ ๓๐ วินาที 
  • ฯลฯ 

หัวเรื่องเบื้องต้นที่จะให้คุยคือ  ได้เรียนรู้อะไรจากกิจกรรมที่เพิ่งผ่านไป  เห็นอะไร คิดอะไร เกิดอะไรขึ้นกับใจฉันหรือเปล่า 

นอกจากนี้แล้วจะมีกิจกรรมนั่งสมาธิทำความสงบ และเจริญสติก่อนเรียนทุก ๆ ครั้ง ดังรูป




อริยาบทนอน

กิจกรรมเดียวที่ใช้ในอริยาบทนอนคือกิจกรรม "ผ่อนพักตระหนักรู้" เคยเขียนอธิบายไว้ที่นี่  ถือเป็นวิธีที่ดีและง่ายสำหรับทุกคนที่จะทำให้สมองผ่อนคลาย ร่างกายสบาย ลดความถี่ของสมองให้ต่ำลง เข้าสู่โหมดอัลฟา ซึ่งจะทำให้เรียนรู้ได้ดีกว่า จดจำได้แม่นยำกว่า


เหล่านี้เป็นตัวอย่างของห้องเรียนทีเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิงกับการบรรยายทั่วไป ผู้อ่านท่านใดหรืออาจารย์ผู้สอนที่สนใจ เชิญมาร่วมพัฒนาตนเองและพัฒนานิสิตด้วยการพัฒนาจิตตนเองครับ

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562

มหาวิทยาลัยนานาชาติเทเลอร์ Taylor's university (๓) AAR

วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ บนรถบัส ระหว่างเดินทางกลับ ผมขอเวลาใช้ไมค์จากไกด์ เพื่อทำกิจกรรมสะท้อนการเรียนรู้ AAR (After Action Review)  โดยตั้งคำถามกับทุกท่านที่มาศึกษาดูงานในวันนี้ว่า  "ท่านเห็นอะไร ประทับใจอะไร ตรงไหนที่ GE (สำนักศึกษาทั่วไป) ควรจะนำไปทำต่อ"  ต่อไปนี้คือมุมมองและข้อคิดของทุกท่าน
  • สำคัญที่วิธีคิดและความคิดรวบยอดของเขา 
    • การจัดการศึกษาต้องตอบปัญหา สร้างคนสำหรับยุค VUCA Volatility (ผันผวน) Uncertainty (ไม่แน่นอน) Complexity (สลับซับซ้อน) และ Ambiguity (คลุมเครือ)
    • การจัดการเรียนรู้แบบ "สอนน้อย เรียนมาก" หรือ  Teach Less Learn More (TLLM)
    • การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด "นั่งร้าน" หรือ  Scaffolding 
  • ความคิดรวบยอดต้องแม่นยำ ชัดเจนก่อน แล้วค่อยใช้กระบวนการต่าง ๆ ใช้สิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เราต้องทำให้เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาก 
  • ระบบการทำงานของเรากับของเขาแตกต่างกัน 
    • ที่มหาวิทยาลัยเทเลอร์ มหาวิทยาลัยเป็นผู้ลงทุน แม้ว่าจะมีรายได้มาจากแหล่งเดียวกัน (จากค่าลงทะเบียนของนิสิต) แต่สิ่งที่สำคัญคือความชัดเจนของเอกชนและความเป็นธุรกิจ คือทำแล้วต้องมีกำไร 
  • GE เราไม่จำเป็นต้องเรียนเต็ม ๑๕ ครั้งได้ไหม ส่วนหนึ่งมาเรียนผ่าน MOOC ได้ไหม  แต่ด้วยบริบทของอาจารย์เราจะทำได้หรือไม่ ขั้นตอนสำคัญจึงเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของอาจารย์ผู้สอน จะทำอย่างไร?  
  • ระบบ Support ที่จะทำได้จริงต้องร่วมกัน คณะต่าง ๆ ต้องมาร่วมกัน โดยมหาวิทยาลัยเป็นผู้ให้การสนับสนุน 
  • สิ่งที่มหาวิทยาลัยทำ กลไกสำคัญคือนโยบายลงมาจากเบื้องบน ผู้บริหารมหาวิทยาลัยต้องสร้างเงื่อนไขที่เอื้อให้อาจารย์มาสนใจทำ MOOC 
  • MOOC เป็นเพียงวิธีการหรือเครื่องมือหนึ่งเท่านั้นในการสร้างกระบวนการเรียนรู้  คงต้องมีระบบอื่น ๆ ต่าง ๆ ด้วย 
  • ปัญหาที่สำคัญอีกเรื่องคือ ความกระตือรือร้นของผู้เรียน  ระบบของเขาไม่จำเป็นต้องสอนทุกสัปดาห์ เวลาส่วนหนึ่งผู้เรียนจะมาเรียนรู้และค้นคว้ากันเอง ซึ่งผู้เรียนต้องแอกทีฟ (active) มาก 
  • สิ่งที่เป็นไปไม่ได้คือ ให้อาจารย์ทุกคนมาสนใจและทำ MOOC แบบนี้ได้  จึงเริ่มจากการค้นหาเดอร์สตาร์ (the STAR) วิธีการคือ ให้คณบดีเป็นผู้คัดเลือกให้ 
  • ที่ชอบมากที่สุดคือ กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติมากที่สุด รายวิชาสำนักศึกษาทั่วไปหลายรายวิชาไม่ควรจะไปเน้นเรื่องการบรรยายแล้ว ควรจะเน้นการฝึกปฏิบัติมากขึ้น 
  • จุดสำคัญอีกจุดคือ การพัฒนาอาจารย์  ต้องเตรียมอาจารย์ ทรานส์ฟอร์มอาจารย์ก่อน  ในปีแรกเขาได้ MOOC น้อยมาก ได้ไม่กี่คน เขาจึงใช้วิธีการให้อาจารย์หลาย ๆ คน มาทำร่วมกัน ทำคนละบท ทีมงานของเขาจะไม่ใช่เจ้าของเนื้อหา ส่วนสำคัญคือต้องเปลี่ยนมุมมองของอาจารย์ วอร์มอัพอาจารย์ 
  • สำนักคอมพิวเตอร์ได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เรื่อง MOOC รวมทั้งที่มหาวิทยาลัยเทเลอร์ด้วย พบว่าแต่ละที่ก็จะใช้ MOOC ในเกมไหน ใช้เพื่ออะไร ที่นี่เขาอาจจะเน้นไปที่การประชาสัมพันธ์ เขาจะเน้นไปที่ e-Learning และการเรียนการสอนมากกว่า 
  • การคัดเลือกสตาร์ก็ต้องดูวัตถุประสงค์ของเราด้วย ว่าเราจะไปทางไหน  ดังนั้นการคัดเลือกอาจารย์ก็ต้องเลือกตามวัตถุประสงค์ด้วย  เช่น  ถ้าจะเน้นไปที่การเรียนการสอนภายใน หรือหเพื่อดึงดูดลูกค้าภายนอก ฯลฯ 
  • ที่จริง มหาวิทยาลัยเทเลอร์เขาก็ไม่ได้สนใจ MOOC เท่าใดนัก แต่เน้นไปที่การเรียนการสอนเป็นสำคัญ  มหาวิทยาลัยเราก็คงเหมือนกัน คือควรจะเน้นไปที่การเรียนการสอนก่อน 
  • ตอนแรกเราตั้งใจจะไปดูเรื่อง MOOC แต่พอมาฟังประสบการณ์จากเขาแล้ว  จะพบว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่ MOOC แต่เป็น Blended Learning ที่ใช้ e-Learning เข้าช่วย ประกอบกับห้องเรียนแบบ X-Space, Mobile X-space 
  • ความสำเร็จที่สำคัญที่สุดคือการที่เด็กได้รับการจ้างงานสูงที่สุด โดยเน้นไปที่การสร้างทักษะและสมรรถนะที่ตลาดแรงงานต้องการ ไม่ใช่การร่วมมือกับบริษัท  
  • จุดเด่นของ เด็ก มมส. คือ จริยะทักษะดีมาก ขยัน อดทน อดกลั้น นอบน้อม ถ่อมตน เรียนรู้สิ่งใหม่ดีมาก แต่ภาษาอาจจะยังดีนัก 
  • นิสิตของเรากับนักศึกษาของเขาค่อนข้างแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะในเรื่องความกล้าแสดงออก ดังนั้น  สิ่งที่เราควรจะนำมาทำคือการสร้างบรรยายการให้น่าเรียน ทั้งในห้องเรียน นอกห้องเรียน ริมทางเดิน ฯลฯ 
  • ความร่วมมือกันระหว่างสำนักศึกษาทั่วไปกับคณะต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจริง ๆ แล้ว สำนักฯ ต้องทำงานในเชิงประสานงานเพราะไม่มีอาจารย์เป็นของตนเองเลย ดังนั้นความมือระหว่างกันจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งต่าง ๆ ดังนั้นนโบายจากมหาวิทยาลัยควรจะชัดเจนมาก ๆ 
ขณะนี้สมาร์ทคลาสรูม (Smart Classroom) ของเรากำลังจะทำเสร็จแล้ว และทิศทางการทำงานก็คงต้องเริ่มจากง่ายไปยาก เริ่มจากสิ่งที่เรามีอยู่นี่แหละก่อน 


(ภาพนี้ไม่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยเทเลอร์แต่อย่างใดครับ เอามาไว้ให้ท่านตีความตามที่เห็น)

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562

มหาวิทยาลัยนานาชาติเทเลอร์ Taylor's university (๒) สอนน้อยเรียนมาก Teah Less Learn More (TLLM)

ไปดูงานระบบ MOOC ของมหาวิทยาลัยเทเลอร์ (Talor's University) แต่สิ่งที่ประทับใจและขอถอดบทเรียนจากการสดับดูมากที่สุดคือ การจัดการเรียนรู้แบบสอนน้อยเรียนมาก หรือ Teach Less Learn More (TLLM) อย่างเป็นรูปธรรม "เขาทำกันอย่างไร"  ต่อไปนี้คือตัวอย่างที่เขาทำให้เห็นครับ

๑) รูปแบบชั้นเรียนแบบ X-Spaces

มหาวิทยาลัยจัดให้มีฝ่ายดูแลบริหารจัดการพื้นที่เรียนรู้ที่เรียกว่า X-Spaces สำหรับการจัดการเรียนรู้ที่ครูทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการ นักศึกษาเรียนเป็นกลุ่ม ทำงานเป็นทีม สื่อสารงานผ่านกลุ่มกันและต่อชั้นเรียนด้วยไอซีที  ... ลองดูภาพห้องเรียน


  • ผมฟังว่า มีห้องเรียนทั้งหมดในมหาวิทยาลัย ๘๕ ห้องเรียน เป็นห้องเรียนลักษณะแบบภาพด้านบนนี้จำนวนถึง ๖๕ ห้องเรียน (๗๖ เปอร์เซ็นต์) ที่เดียว  ห้องเรียนที่ผู้เรียนสามารถ 
    • คุยและอภิปรายกันเป็นกลุ่มได้ง่าย 
    • เชื่อต่อโน๊ตบุคหรือแลปท๊อปหรือมือถือของตนจากโต๊ะขึ้นบนจอได้ 
    • สามารถเขียนอภิปรายนำเสนอต่อกลุ่มเล็กด้วยการเขียนปากกากลาสบอร์ดได้  (พื้นโต้ทำด้วยกระจกที่สามารถเขียนได้ลบได้)
    • มีกระดาษรอบห้อง และมีจอรองรับการนำเสนอหน้าชั้นเรียน 
    • เก้าอี้เคลื่อนที่ได้ 
    • ฯลฯ

  • นอกจากการจัดห้องเรียน และสิ่งเอื้อต่อการเรียนรู้อย่างดีแล้ว คีย์สำคัญคือบุคลากรที่ทำหน้าที่อำนวยการเรียนรู้ (Facilitate)  
    • จำนวนการสังเกตชั้นเรียน ๙๙ ชั้นเรียนจาก ๑๓๑ ชั้นเรียน 
    • มีจำนวนผู้สังเกตการ ๔๓ คน 
    • มีผู้ดูแลหรือครูฝึกในชั้นเรียนแบบ X-Space จำนวน 16 คน 
๒) การเรียนแบบ Multi-Learning Mode (Mobile X-Space)



  • มีห้องเรียนแบบมัลติเลินนิ่ง (Multi Learning) เรียกว่า Mobile X-Space  ที่นักศึกษาเรียนได้ในหลากหลายโหมด (ลองดูคลิปนี้)
    • โหมดบรรยาย (Leacture Mode) นักศึกษาจะเลื่อนเคลื่อนมานั่งเรียงกันเป็นแถวหน้าดาน
    • โหมดอภิปราย (Discussion Mode) นั่งล้อมวงเป็นกลุ่มหันหน้าเข้าหากัน 
    • โหมดโต้เถึยง (Debate Mode) แบ่งเป็นสองทีมหันหน้าเข้าหากัน 
    • โหมดประชุม (Meeting Mode) นั่งล้อมเป็นวงกลม 
    • โหมดกิจกรรม เก็บเก้าอี้ เปิดพื้นที่ว่างกลางห้องทำกิจกรรม 
    • ฯลฯ 
๓) ระบบบันทึกการบรรยายไว้ให้ดูย้อนหลัง



  • ห้องบรรยายขนาด (น่าจะ) ๑๕๐ ที่นั่งแบบโรงหนังไอแม็คที่ไม่ต้องมีใครบังใคร ใครหลบหลังใคร  ซึ่งก็มีกันทั่วไป  แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือ ห้องเรียนนี้มีระบบบันทึกการบรรยายแล้วออนไลน์ให้นักศึกษาเข้าถึงละดูย้อนหลังได้ทุกการบรรยายตลอด ๑ ปีการศึกษา 
    • มีกล้องติดตามการเคลื่อนไหวของผู้บรรยาย 
    • มีฟังก์ชันเลือกได้ว่าจะดูสไลด์บรรยายหรือดูผู้บรรยาย หรือดูฟังทั้งสองแบบแยกหรือแทรกจอ 
    • นักศึกษาเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา
๔) สถานประกอบการจริง


  • หลักสูตรเกี่ยวกับการโรงแรมและการบริการ มีร้านอาหารให้นักศึกษาเรียนรู้และทดลองทำงานจริง ๆ แบบในภาพนี้ ๔ แห่ง  
  • สิ่งที่ทางมหาวิทยาลัยชูเป็นจุดขายที่สำคัญที่สุดคือ การมีงานทำของนักศึกษาที่มาเรียน  (ติดท๊อป ๑ เปอร์เซ็นต์ของมหาวิทยาลัยในโลก)  วิธีการคือช้การเรียนรู้ผ่านการทำงาน (Work-based Learning (WBL)) หรือ เรียนรู้บูรณาการกับการทำงาน (Work Integrated Learning (WIL))
  • นักศึกษาที่จบจะสามารถทำงานหรือรู้จักงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องในร้านนั้น ๆ  เช่น เป็นผู้บริหารร้าน เป็นเชฟ เป็นพนักงานต้อนรับ เป็นบาร์เท็นเดอร์ เป็นพนักงานเสริฟ เป็นผู้จัดการ ฯลฯ 
  • ทางมหาวิทยาลัยใช้ร้านนี้เลี้ยงรับรองแขกที่มาเยี่ยม  ระหว่างที่นักศึกษาทำงานบริการอาหารให้เรา จะมีอาจารย์ผู้สอนคอยสังเกตและแนะนำ  และทำการประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ไปพร้อม ๆ ด้วยเลย .... 
๕) e-Learning (Module) 

e-learning (eLA) ที่พัฒนาที่นี่ใช้โปรแกรมมูเดิลเป็นหลัก ซึ่งในวงการก็คงจะรู้กันดีถึงข้อดีของมูเดิลในเรื่องการปฏิสัมพันธ์ออนไลน์กับผู้เรียน  ที่เด่น ๆ เห็นเป็นไอเดีย ได้แก่



    • ระบบติดตามความก้าวหน้าในการเรียนรู้ด้วยระบบ TIMes ที่แสดงเป็นบาร์เปอร์เซ็นต์เห็นชัดว่าใกล้ไปถึงฝั่ง


    • การจัดรายวิชาเป็นแพคเก็ต (Package)  ให้เลือกได้ง่าย  แทนที่จะมีเฉพาะลงทะเบียนเป็นรายวิชาตามที่ตนต้องการ แต่นำมาจัดเป็นแพคเก็ต



    • มี "หมุดสำเร็จ" (ผมเรียกเองครับ) แบบดิจิตอล เป็นเหมือนตราโลโก้หรือเป็นเหมือนเหรียณตรา ซึ่งจะได้มาเมื่อผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ได้ออกแบบไว้ใน eLA



    • มี "ตราทักษะ" ให้เก็บเพื่อสะสมทักษะต่าง ๆ ที่นักศึกษาต้องการจะฝึก เหมือนการไล่เก็บไอเท็ม (Item) ในเกมส์.... น่าสนใจมาก 
    ๖) MOOC

    Taylor's University เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในมาเลเซียที่เปิดตัวการนำระบบ MOOC (Massive Open Online Courses) มาใช้  วิชาแรกที่นำมาใช้คือวิชา ผู้ประกอบการ ท่านใดสนใจสามารถเข้าไปลงทะเบียนเรียนได้ฟรีที่ระบบ Openlearning.com ของมหาวิทยาลัยที่นี่  ... ผมเองทดลองลงทะเบียนและเรียนดูแล้วบางส่วนครับ และจะทดลองทำสัก ๒ วิชาในภาคเรียนนี้

    เขาทำระบบบันทึกการบันทึกการบรรยาย แบบง่าย ๆ เพียงแต่อบรมให้อาจารย์ผู้สอนใช้งานโปรแกรม OBL (โปรแกรมบันทึหน้าจอและตัดต่อ) เป็น และเปิดให้อาจารย์มาใช้งานได้อย่างอิสระ และนำคลิปการสอนของอาจารย์ไปวางใน MOOC ได้สบาย





    ๖ ประการที่กล่าวมานี้ ทำให้การเรียนการสอนที่นี่เป็นแบบ TLLM และนักศึกษามีงานทำ หากเราจะนำมาทำกันบ้าง ต้องเน้นไปที่การสร้างงานให้นิสิตเริ่มทำ และเรียนจากการทำงานนั้น การจัดการเรียนการสอนแบบ WIL และ WBL  คือสิ่งที่เราต้องทำด่วน

    อันทีจริงเราก็ทำและนำขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ผ่านโครงการ "ธุรกิจพอเพียง" ของรายวิชาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  และเมื่อเปรียบเทียบผลงานของนักศึกษา ที่นำมาวางขายกันตามทางเดิมดังรูป ก็ไม่ได้หนีไกลกันแต่อย่างใด ...


    บันทึกต่อไป  ไปดูคำแนะนำและการสะท้อนจากผู้บริหารที่มาร่วมดูงานครับ