R2R คืออะไร
ท่านยกเอาความหมายที่ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ให้นิยามไว้ ในการบรรยายครั้ืงหนึ่ง ว่า
R2R ย่อมาจาก Routine to Research แปลว่า การพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย หมายถึง การทำงานวิจัยจากงานประจำ ทำงานประจำจนเป็นงานวิจัย ทำวิจัยโดยใช้ปัญหาจากงานประจำ ผู้วิจัยคือผู้ที่ปฏิบัติงานประจำ โดยมุ่งเน้นการนำผลการวิจัยไปพัฒนาการทำงานประจำของตนให้ดีขึ้นเป็นลำดับแรก ไม่เน้นความเป็นเลิศทางวิชาการ และไม่ใช้แนวคิดแบบวิทยานิพนธ์
ในการนิยาม R2R เบื้องต้น ท่านเน้นว่า ศ.นพ.วิจารณ์ ย้ำว่า R2R ไม่มีความหมายตายตัว แต่ละหน่วยงานต้องนิยามเอาเองให้เหมาะสมต่อสถานการณ์และความต้องการของตน การอบรมวันนี้เป็นการนำเอาประสบการณ์ในการทำ R2R ของสำนักวิจัยด้านการศึกษาของ ม.ศิลปกร มาแลกเปลี่ยน และท่านเองก็เคยเป็นผู้บริการที่รับผิดชอบงานวิจัยโดยตรง มีความเชี่ยวชาญเรื่องวิจัยอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ การอบรมเชิงปฎิบัติการในวันนี้จึงเข้มข้นไปด้วยระเบียบวิธีวิจัย เทคนิค และเคล็ดวิชาในการกำหนดปัญหาวิจัย การกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย และความคิดรวบยอดในการเขียนเค้าโครงงานวิจัย
ปัญหาของการวิจัยแบบ R2R
ปัญหาของการวิจัยแบบ R2R คือ ความไม่สอดคล้องของสภาพที่เกิดขึ้นจริงกับเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดตามเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กำหนด การวิจัยจะช่วยให้ช่องว่างระหว่างเป้าหมายและสภาพจริงลดน้อยลง
สังเกตว่าเป็นการนิยามให้ปัญหาวิจัยมุ่งไปเกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องปัญหาหน้างานเพื่อให้เกิดการพัฒนางาน เคล็ดวิชาสำคัญในการมองปัญหาวิจัย คือการมองไปที่ "เหตุและปัจจัย" ที่ส่งผลต่องาน ได้แก่
- ความรู้ความเข้าใจ
- ทักษะในการปฏิบัติงาน/ความสามารถในการปฏิบัติงาน
- ความสามารถในการสื่อสาร
- ความสุขในการทำงาน
- ความสามารถในการแก้ปัญหา
- พฤติกรรมการทำงาน/การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
- ความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน
- สภาพปัญหาและแนวทางการพัฒนางาน
- การให้บริการ
- ความต้องการ
- การมีส่วนร่วม/ความร่วมมือ
- ฯลฯ
การตั้งชื่อเรื่องงานวิจัย
การกำหนดชึ่อเรื่อง(งาน)วิจัย ต้องสอดคล้องกับปัญหา เรื่องที่ต้องการพัฒนา มีความชัดเจน ชี้ให้เห็นว่าผู้วิจัยต้องการศึกษา/พัฒนาเรื่องอะไร (ตัวแปรที่ศึกษาคืออะไร) กับใครที่ไหน (ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง)
ท่านให้เคล็ดวิชาในการกำหนดหัวเรื่องการวิจัยแบบ R2R ที่สำคัญๆ มา ๕ แนวทาง ได้แก่
- การศึกษา ................สำหรับ............................
- การพัฒนา ...............สำหรับ(ของ)..................
- การประเมิน.....................................................
- การสร้ง...........................................................
- การเปรียบเทียบ..............................................
- ฯลฯ
รูปแบบการเขียนเค้าโครงวิจัย
รูปแบบการเขียนเค้าโครงงานวิจัยของแต่ละมหาวิทยาลัยจะแตกต่างกัน สำหรับคณะศึกษาศาสตร์ ม.ศิลปกร ใช้ รูปแบบดังต่อไปนี้
- ชื่อโครงการวิจัย (ระบุทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)
- ชื่อผู้วิจัย
- ชื่อที่ปรึกษา (ถ้ามี)
- ความสำคัญและที่มาของปัญหาการวิจัย
- กรอบแนวคิดทางทฤษฎีที่ใช้ในการวิจัย หรือ กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย
- วัตถุประสงค์ของการวิจัย
- ขอบเขตของการวิจัย
- นิยามศัพท์เฉพาะ
- ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย
- เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (เขียนย่อๆ)
- วิธีการดำเนินการวิจัย
- ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
- เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย (แยกเป็น ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย และ วิธีการสร้างและตรวจสอบคุณภาพ)
- การเก็บรวบรวมข้อมูล
- การวิเคราะห์ข้อมูล
- สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
- ระยะเวลาและแผนการดำเนินการวิจัย ให้เขียนเป็น Grant Chart
- งบประมาณการวิจัย
- บรรณานุกรม/เอกสารอ้างอิง
- ประวัติผู้วิจัยและประวัติผลงานวิจัยของที่ปรึกษา (ถ้ามี)
ผมถอดบทเรียนมาถึงตรงนี้ สรุปในใจตนเองว่า รูปแบบการเขียนเค้าโครงวิจัยแบบนี้ คงจะต้องเป็น R2R เฉพาะในหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการวิจัยการศึกษาเป็นแน่แท้... เพราะนี่คือรูปแบบระเบียบวิธีวิจัยไปสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการและเป็นงานวิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษานั่นเอง
วิธีการตั้งชื่อเรื่องงานวิจัย
นอกจากต้องให้สอดคล้องกับปัญหา ต้องให้ชัดเจนในประเด็นต่อไปนี้ โดยให้สั้นกระทัดรัดที่สุด
- พัฒนาอะไร แก้ปัญหาอะไร/ผลที่ต้องการให้เกิดขึ้น (ตัวแปรตาม) ค้ออะไร
- ใช้เทคนิค/วิธี/นวัตกรรมกลยุทธ์รูปแบบใด (ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ)
- ทำกับใคร+ที่ไหน (ประชากร/กลุ่มเป้าหมาย)
หลักในการเขียนความสำคัญและความเป็นมาของปัญหา
เขียนเรียบเรียงในเชิงสังเคราะห์ให้ผู้อ่านเห็นประเด็นดังต่อไปนี้
- มีความสำคัญอย่างไร ใครว่าสำคัญบ้าง(ให้อ้างอิง)
- อ้างความสำคัญจากทฤษฎี แนวคิด ผลการวิจัย
- รู้ได้อย่างไรว่าเป็นปัญหาและปัญหานั้นสำคัญอย่างไร
- ปัญหานี้มีสาเหตุมาจากอะไรบ้างจะแก้ไขที่สาเหตุใด
- วิธีใดนวัตกรรมใดดีที่สุด
การเขียนกรอบความคิดที่ใช้ในการวิจัย
เขียนให้เห็นว่า ผู้วิจัยใช้แนวคิด ทฤษฎีของใครในการวิจัยครั้งนี้ โดยผู้วิจัยต้องทบทวนวรรณกรรมและกำหนดว่าจะใช้แนวคิดใด ทฤษฎีของใครในการวิจัย หรือเมื่อศึกษาหลายๆ แนวคิดแล้ว ผู้วิจัยสังเคราะห์แนวคิดที่ใช้การวิจัยอย่างไร โดยเขียนพรรณแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย และควรแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย และควรแสดงเป็นแผนภูมิ หรือโมเดลแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
ผมขอแสดงความเห็นแย้งต่อวิธีการสร้างกรอบแนวคิดในการวิจัยแบบนี้ นี่เป็นกรอบแนวคิดที่ใช้สำหรับระเบียบวิธีวิจัยทางวิทยาศาสตร์วัตถุ (วิทยาศาสตร์กายภาพ) ไม่เหมาะสำหรับการวิจัยด้านสังคมหรือการศึกษา ซึ่งปัจจัยและสภาพการพัฒนาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม การยึดติดกรอบการวิจัยลักษณะนี้ และสอนกันให้ทำต่อไปแบบรุ่นต่อรุ่น จะไม่ทำให้เกิดทฤษฎีใหม่ใดๆ มากนัก นอกจากนี้ การทบทวนวรรณกรรรมที่นำเอางานวิจัยที่ทำสำหรับ "คนตะวันตก" มาใช้กับ "คนตะวันออก" และมองข้ามภูมิปัญญาและศรัทธาของตนเอง เช่น ไม่มีใครอ้างอิงวรรณกรรมจากพระไตรปิฏก หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาและพัฒนา ....
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ท่านแนะนำวันนี้ก็มีประโยชน์มากในการ "ดำรงวิชาชีพอยู่ในระบบหรือกระแสปัจจุบัน" ท่านให้เคล็ดวิชาในการเขียนกรอบแนวคิดดังนี้
- ให้เขียนเสนอในเชิงสังเคราะห์ โดยสังเคราะห์เป็นของผู้วิจัยเอง
- แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตาม
- สังเคราะห์เป็นของผู้วิจัยเอง
- ได้จากการสังเคราะห์ทฤษฎี แนวคิด และผลการวิจัย
- เรียบเรียงแล้วเสนอเป็นแผนภูมิ แผนภาพ
การเขียนวัตถุประสงค์ในการวิจัย
ให้เขียนถึงความมุ่งหมายที่ผู้วิจัยต้องการว่า ต้องการศึกษาอะไร กระทัดรัด ได้ใจความ เขียนเป็นประโยคบอกเล่าเป็นข้อๆ ด้วยข้อความว่า "เพื่อ....." การเขียนวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนจะช่วยกำหนดขอบเขตการวิจัยได้ ลักษณะของวัตถุประสงค์ที่ดี มีดังนี้
- สอดคล้องกับปัญหาวิจัย เรื่องที่วิจัย
- สั้นกระทัดรัด ได้ใจความ
- ครอบคลุมสิ่งที่ต้องการศึกษา
- ตอบปัญหาโจทย์วิจัย
ตัวอย่าง เช่น เพื่อศึกษา... เพื่อเปรียบเทียบ... เพื่อประเมิน.... เพื่อพัฒนา.... เพื่อสร้าง... เพื่อวิเคราะห์....
ขอบเขตการวิจัย
กำหนดให้ชัดเจนว่า ผู้วิจัยต้องการทำวิจัยครอบคลุมแค่ไหนเพื่อให้ตอบวัตถุประสงค์การวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นใคร จำนวนเท่าไหร่ กำหนดตัวแปรต้นและตัวแปรตาม หรือกำหนดขอบเขตวิจัยด้านเนื้อหา ระยะเวลา และสถานที่ (ผมเข้าใจว่า ขอบเขตวิจัยจะต้องบอกเกี่ยวกับตัวแปรควบคุมให้ชัดเจนเป็นสำคัญ) โดยมีแนวทางในการเขียนตามประเด็นดังนี้
- ทำแล้วต้องการผลอะไร แก้ปัญหาอะไรได้ พัฒนาอะไร (ตัวแปรตาม)
- ทำกับใคร ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง วิธีการสุ่มตัวอย่าง
- ทำเมื่อไหร่/ที่ไหน ระะยะเวลาเท่าใด สถานที่ใด
- เรื่องอะไร เนื้อหาสาระ มาตรฐาน ตัวชี้วัด สมรรถนะที่สำคัญ คุณลักษณะอันพึงประสงค์
- ฯลฯ
ตัวอย่าง
- ประชากร เช่น นักศึกษาจำนวน....... คน ภาคเรียนที่ ..... ปีการศึกษาที่..... คณะ.........
- กลุ่มตัวอย่าง เช่น นักศึกษาจำนวน......คน ภาคเรียนที่.....ปีการศึกษาที่..... คณะ........
- วิธีการสุ่มตัวอย่าง เช่น สุ่มนักศึกษาด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple Randoทm Sampling) แบบจับสลาก
- เนื้อหา เช่น งาน........
- ระยะเวลา เช่น ระหว่างเดือน......... ภาคเรียนที่..... ปีการศึกษาที่.....
- ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เช่น ตัวแปรต้น คือ ........................... ตัวแปรตาม คือ .................ง
- เป็นต้น
การนิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจัย
กำหนดความหมายที่ได้จากการสังเคราะห์ของผู้วิจัยเอง ไม่ใช่แนวคิดหรือทฤษฎี เพื่อให้เข้าใจตรงกันระหว่างผู้วิจัยและผู้อ่านงานวิจัย โดยต้องครอบคลุมสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้
- ตัวแปรที่จะศึกษา ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
- ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง
- สิ่งอื่นที่สำคัญและเกี่ยวข้อง
ลักษณะของคำศัพท์เฉพาะ จะต้องเป็นนิยามเชิงปฏิบัติการที่วัดได้ ทดสอบได้ สังเกตได้ และเก็บคะแนนได้
การเขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ให้คาดคะเนว่า เมื่อดำเนินการวิจัยสิ้นสุดลง ใครหรือหน่วยงานใดเป็นผู้ได้รับประโยชน์ ได้รับประโยชน์อย่างไร และได้รับมากน้อยเพียงใด เช่น
- อาจารย์มี.....................
- นักศึกษามี..................
- ได้..............................
- เป็นแนวทาง................ในการพัฒนา..................
- ฯลฯ
การเขียนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (เขียนย่อๆ)
ให้เขียน ๓ ประเด็นต่อไปนี้
- แนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับการบริหารจัดการ....................
- บริบทและข้อมูลทั่วไปของหน่วยงาน..........................
- งานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ .................. ควรจะเป็นงานวิจัยย้อนหลังไปไม่เกิน ๕ ปี ยกเว้น ผลงานวิจัย classics มีการอ้างอิงมาอย่างต่อเนื่อง
- ฯลฯ
การเขียนวิธีดำเนินการวิจัย
เขียนรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง วิธีการกำหนดกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย วิธีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ (ขอบันทึกแบบแสดงสไลด์ของท่านแบบเล่าด้วยภาพ เพราะเนื่องเวลาจำกัดมากในช่วงท้ายในการอบรม จึงเป็นการบรรยายสรุปอย่างรวดเร็ว)
ท่านเน้นให้ เขียนวิธีการดำเนินการวิจัย แบบสรุปรวมและนำเสนอแบบตารางความสอดคล้องระหว่าง วัตถุประสงค์ วิธีการ กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือ และ การวิเคราะห์ข้อมูล ดังตารางด้านล่าง
และเน้นอีกว่า การเขียนแผนการดำเนินการวิจัย ให้เขียนเป็นแบบแผนผัง Grant Chart ดังรูป
การเขียนงบประมาณการวิจัย
ท่านแนะนำว่า การเขียนให้ชัดเจนและแยกเป็นหมวดๆ เช่น
- ค่าตอบแทน แบ่งเป็น ค่าตอบแทนนักวิจัย ค่าตอบแทนผู้ทรงคุณวุฒิ/ผู้เชี่ยวชาญ ค่าตอบแทนที่ปรึกษา ฯลฯ
- ค่าใช้สอย เช่น ค่าพิมพ์เอกสาร ค่าจัดทำเล่มรายงาน ฯลฯ
- ค่าวัสดุ เช่น ค่าหมึกพิมพ์ ค่ากระดาษอัดสำเนา ฯลฯ
ส่วนใหญ่มักใช้แบบ APA style ตัวอย่างดังภาพ
ทดลองเขียนเค้าโครงการวิจัยแบบไวๆ
๑) ชื่อโครงการวิจัย: การประเมินประสิทธิผลของการพัฒนางานบริการห้องเรียนรวม ตามคำขวัญ "เปิดง่าย ใช้ดี มีสำรอง" ของสำนักศึกษาทั่วไป
๒) ชื่อวิจัย: (บุคลากรผู้รับผิดชอบงานบริการห้องเรียนรวมทุกคน)
๓) ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา: (ผู้บริหารที่รับผิดชอบ)
๔) ความสำคัญและที่มาของปัญหาการวิจัย
การพัฒนางานบริการห้องเรียนรวมและสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของสำนักศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (อ้างอิงเล่มแผนฯ) เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนรายวิชาศึกษาทั่วไปเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การดำเนินงานที่ผ่านมาของกลุ่มงานสาระสนเทศ ผู้รับผิดชอบงานดังกล่าว ได้ยึดเอาคำขวัญ "เปิดง่าย ใช้ดี มีสำรอง" ซึ่งบุคลากรในกลุ่มงานร่วมกันกำหนดขึ้นตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๘ เป็นต้นมา เพื่อให้การพัฒนางานบริการห้องเรียนรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรให้มีการศึกษาสภาพการให้บริการในปัจจุบัน และประเมินผลลัพธ์
๕) กรอบแนวคิดทางทฤษฎีหรือกรอบความคิดที่ใช้ในการวิจัย
ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจและการประเมินเชิงคุณภาพ
๖) วัตถุประสงค์
- เพื่อศึกษาสภาพการให้บริการห้องเรียนรวมของสำนักศึกษาทั่วไป
- เพื่อประเมินประสิทธิผลของการพัฒนางานบริการบริการห้องเรียนรวมตามคำขวัญ "เปิดง่าย ใช้ดี มีสำรอง"
- เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนางานบริการห้องเรียนรวมของสำนักศึกษาทั่วไป
๗) ขอบเขตการวิจัย
- ขอบเขตด้านประชากร: ประชากร บุคลากรและนิสิตผู้ใช้งานห้องเรียนรวมทั้งหมด กลุ่มตัวอย่าง เป็นอาจารย์ผู้สอนรายวิชาศึกษาทั่วไปและตัวแทนนิสิตกลุ่มการเรียนละ ๒ คนต่อกลุ่มการเรียน โดยเลือกแบบเจาะจง
- ขอบเขตด้านเนื้อหา: ประเมินเฉพาะประสิทธิผลของการให้บริการสื่อและโสตทัศณูปกรณ์ที่ติดตั้งในห้องเรียนรวมที่สำนักศึกษาดูแลเท่านั้น ไม่รวมอุปกรณ์ที่ให้บริการเสริมพิเศษ
- ขอบเขตด้านระยะเวลา: ระยะเวลาในการเก็บข้อมูลเฉพาะภาคเรียนที่ ๒๕๖๑ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ - กันยายน ๒๕๖๒
๘) คำนิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจัย
- การให้บริการห้องเรียนรวม หมายถึง ....
- สภาพการให้บริการห้องเรียนรวม หมายถึง....
- ปัจจัยที่ส่งผลต่อการให้บริการห้องเรียนรวม หมายถึง...
- แนวทางการให้บริการห้องเรียนรวม หมายถึง...
- อาจารย์ผู้สอนรายวิชาศึกษาทั่วไป หมายถึง ...
- นิสิต หมายถึง ...
- เจ้าหน้าที่ บร. หมายถึง ...
- นิสิตผู้ช่วยอาจารย์ หมายถึง ...
- แม่บ้าน หมายถึง ...
- สื่อโสตทัศณูปกรณ์ หมายถึง อุปกรณ์ที่ติดตั้งให้บริการให้ห้องเรียนรวมต่อไปนี้ ๑) เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) ๒) เครื่องฉายโปรดเจ็คเตอร์ ๓) ระบบเสียงภายในห้อง ได้แก่ ไมค์ เครื่องขยายเสียง ลำโพง
- ห้องเรียนรวม หมายถึง....
- การพัฒนางานห้องเรียนรวม หมายถึง ...
- ประสิทธิผลของการพัฒนา หมายถึง ....
การเขียนคำนิยามศัพท์ต้องเรียงลำดับความสำคัญของศัพท์สำคัญ จากสำคัญมากที่สุด และในคำนิยามศัพท์ อย่าใช้คำว่า "เช่น" ต้องใช้คำว่า ได้แก่ หรือ ประกอบด้วย ต้องชัดเจน
๙) แผนการดำเนินงาน
๑๐) แผนการใช้งบประมาณ
๑๑) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
- ทราบสภาพปัจจุบันของการให้บริการห้องเรียนรวม
- ทราบประสิทธิผล
- ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ควรอ้างอิงงานวิจัยย้อนหลังไม่เกิน ๕ ปี เว้นแต่เป็นงานวิจัย
โดยสรุปแล้ว ผมว่านี่ไม่ใช่ R2R ที่เหมาะสมกับบุคลากรและงานของสำนักศึกษาทั่วไป เพราะเราไม่ได้เน้นการวิจัยและการก้าวไปสู่ความก้าวหน้าด้านการงานของบุคลากรสายสนับสนุน จะเน้นการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงาน และการถอดบทเรียนประสบการณ์แห่งความสำเร็จและแนวปฏิบัติที่ดีในการปฏิบัติงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น