วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559

รายวิชาศึกษาทั่วไป : ๐๐๓๒๐๐๑ มนุษย์กับอารยธรรมและศาสนา จับประเด็นจากคลิปบรรยาย (๑)

สวัสดีครับ เอาคลิปการสอนของ รศ.ดร.ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ มาให้ดูครับ  ลีลาการสอนของท่าน เป็นเอกลักษณ์มาก สนุกสนาน ได้ความรู้มาก  สำหรับนิสิตแล้ว นี่เป็นการเรียนรู้ที่ง่าย ทันสมัยอีกช่องทางหนึ่ง


คำว่า "อารยธรรม" กับคำว่า "วัฒนธรรม"
  • จะบรรยายภาพรวมของรายวิชามนุษย์กับอารยธรรมและศาสนา
  • มีคำที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับ่รายวิชานี้คือ อยู่ ๒ คำ คำแรกคือ Culture อีกคำคือคำว่า Civilization คำว่า Culture ตรงกับภาษาไทยว่า "วัฒนธรรม" ส่วนคำว่า Civilization ตรงกับคำภาษาไทยว่า "อารยธรรม"  
  • วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งที่คนในสังคมประพฤติปฏิบัติกันและสืบทอดกันเป็นเวลานาน จะดีไม่ดีไม่รู้ แต่สังคมเขาคิดว่ามันดี เขาจึงทำต่อกันมา 
  • เช่น ในสังคมไทย มีสิ่งที่คนไทยทำกันมาตลอด เช่น ไหว้ ยิ้ม ดูแลคนแก่ ฯลฯ  
  • แล้วโสเภณีล่ะ?  เป็นวัฒนธรรมไทยไหม?  แต่เราไม่โอเคนะถ้าจะมาบอกว่า โสเภณีคือวัฒนธรรมไทย ซึ่งมีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ในสมัยรัชกาลที่ ๕  โสเภณี ต้องถูกตีตราที่ไหปลาร้าด้านซ้าย และถูกเก็บภาษี  ดังนั้น โสเภณีสมัยนั้นจะนุ่งห่มเสื้อผ้าอย่างมิดชิด  
  • แล้วการพนันล่ะ? เป็นวัฒนธรรไทยไหม?  เราบอกว่ามันไม่ดี เราจึงไม่ยอมรับว่าเป็นวัฒนธรรม 
  • สรุปแล้ว หากใครเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม ก็จะบอกว่า สิ่งที่ไม่ดีเช่น โสเภณีหรือการพนัน เหล่านี้ ไม่ใช่วัฒนธรรม  ....  แต่สำหรับผู้สอน ท่านเรียกทั้งหมดที่สังคมยึดถือปฏิบัติ ทำสืบทอดกันมาว่า "วัฒนธรรม" 
  • "วัฒนธรรม" จะเป็นสิ่งที่ทำกันเฉพาะในกลุ่มชนเดียว เชื้อชาติเดียว ไม่สากล  คนไทยทำแต่ฝรั่งไม่ทำด้วย เรียกว่า "วัฒนธรรมไทย"  แต่ถ้าเป็นสิ่งสากล คนทั่วโลกทำกัน เช่น ประชาธิปไตย  ฯลฯ  จะเรียกว่า "อารยธรรม" 
  • "กินข้าว" เป็นวัฒนธรรมไทยไหม?  ... เป็น....  แต่ถ้าเราไปกินขนมปังล่ะ? เป็นวัฒนธรรมไทยไหม..... ไม่แน่....
  • ดังนั้น สิ่งที่เราจะเรียนกันในวิชานี้คือ สิ่งที่คนทั้งหลายทั่วโลกทราบกัน ทำกัน สืบทอดต่อกัน ยาวนาน 
  • แล้วคนไทยมี "อารยธรรม" ไหม? ...คนไทยรุ่นเก่า ๆ ก็มีวัฒนธรรมเหมือนกันนะ
  • ตอนท่านเรียนที่ ม.ธรรมศาสตร์  ปี ๒๕๑๔  ตอนจบเป็นอันดับ ๑ ของรุ่น เขาจะเอาผมเป็นอาจารย์ที่นั่น  แต่ไม่ชอบอยู่กรุงเทพฯ  อยากอยู่ต่างจังหวัด จึงมาที่นี่ไง  ...  ความจริงอยู่ที่ไหนก็ได้  หลายมหาวิทยาลัยก็จะเชิญเราไปสอน  ถ้าไปสอนอังกฤษได้เดือนละแสน อเมริกาได้เดือนละแสนห้า ... ไปญี่ปุ่นได้สองแสนเจ็ด ...ไม่สำคัญ สำคัญที่ได้เดินทางไปรอบโลก เคยไปญี่ปุ่น ๕ ครั้งแล้ว  ไปอังกฤษ ๘ ครั้ง ไปอเมริการ ๕ ครั้ง  .... ดังนั้น ผมจึงไม่ง้อพวกคุณไง ไม่อยากเรียนก็ช่างไง ... ไม่ง้อแล้ว....ฮา
  • ตอนเรียนที่ธรรมศาสตร์  มีรายวิชา "อารยธรรมไทย"   ตอนนั้นมันไม่น่าใช่ ... แต่ตอนนี้ มีบางอย่างเริ่มเป็นอารยธรรมแล้วนะ เช่น อาหารไทยไง ....  
  • ขนมไทย เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน ฯลฯ อะไรเหล่านี้ทั้งหมด มาจากโปรตุเกส  เข้ามาในสมัยอยุธยา ที่มาเก้าก็มีขาย แต่ไม่อร่อยเท่าของเรา... สังขยา บ้าบิ่น ก็เจอเมือนกัน 
  • พริก มะละกอ มาจากอเมริการใต้  พวกโปรตุเกสไปเอามาปลูกที่ฟิลิปปินส์ ต่อมาก็มาที่เรา แต่ก่อนเราไม่มีพริก
  • ดังนั้น สัมตำ หรือ ตำบักหุ่ง ของเราสมัยก่อน  เราไม่ได้ตำใส่มะละกอ  ตำใส่พวกอะไรที่เปรี้ยวๆ
  • ภาษาที่เราพูด ภาษาไทย รับมาจากเขมร  เลข ๑ ๒ ๓  ....  อยู่ในจารึกของเขมรทั้งหมด  รวมทั้ง ราชาศัพท์ต่าง ๆ   ก็คือภาษาเขมรธรรมดา   เราเอาภาษาเขมรมาใช้ ...
  • เครื่องแกงต่างๆ เอามาจากอินเดีย  
  • การไหว้จริง ๆ แล้วก็มาจากอินเดีย   
  • ระบำ รำฟ้อน ต่าง ๆ ก็เอามาจากอินเดีย 
  • จุดเด่นของไทย อยู่ที่เราเอาสิ่งต่างๆ  หลากหลาย เอามาผสมผสาน สร้างขึ้นมาใหม่  ...   คนไทยเก่งเรื่องนี้จริง ๆ 

คำว่า "คน" กับ "มนุษย์" 
  • "คน" หมายถึง สัตว์จำพวกหนึ่งที่แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน  
  • "มนุษย์" ก็คือ "คน" ที่มีสติปัญญา  คือ คนฉลาด ผู้รู้ มีธรรมะในจิตใจ รู้จักทาน รู้จักศีล
  • ดังนั้น นิสิตที่เดินออกมาอาจเป็นได้ทั้ง "คน" และ "มนุษย์"  จะเป็นมนุษย์ตอนที่มีจิตใจสูงกว่า  หรือเรียกว่า "คนอันประเสริฐ"
  • สังเกตตอนที่บวช  พระท่านจะถามว่า "มนุษย์เสสะ" (มนุษย์โสสิ) ... เป็นมนุษย์ไหม 
  • นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า "คน" พัฒนามาจากลิง 
  • ๑๐,๐๐๐ ปีที่ผ่านมา คนกินของป่า ล่าสัตว์ 
  • ๖,๐๐๐ ปีที่ผ่านมา คนอยู่เป็นกลุ่ม และเริ่มทำเกษตรกรรม ปศุสัตว์  รวมทั้งทำสงครามกันด้วย  เช่น แถบเมโสโปเตเมีย แถบลุ่มแม่น้ำไนด์และอิยิปต์ ลุ่มแม่น้ำสินธุ ฯลฯ 
  • ถามว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ดีหรือเลว? .... ในโลกตะวันตกและตะวัะนออก มองมุมนี้ต่างกัน 
  • ในโลกตะวันตก มองว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ดี ในศาสนาคริสต์ คัมภีร์สอนว่า  พระผู้เป็นเจ้าจ้างมนุษย์ขึ้นมาคู่หนึ่ง ชื่อ อดัมกับอีฟ แล้วให้มาอยู่ในสรวงสวรรค์ แล้วห้ามไม่ให้กินแอ็บเปิ้ล  ช่วงแรกก็เชื่อ แต่พอมาตอนหลัง ซาตาลแปลงมาเป็นงูตัวใหญ่มาหลอกให้กินแอ๊ปเปิ้ล  ทำผิดสัญญา ลูกแอ๊ปเปิ้ลติดคอกลายเป็ยลูกกระเดือกผู้ชายไป (...ฮา)  ... สรุปคือเบื้องต้นดี  แต่ที่เลวเพราะซาตานมาพาเลวทีหลัง ... ดังนั้น ทางตะวันตกจะให้โอกาสคนได้กลับตัวกลับใจ  เอาไปขังคุก ขังตาราง บำเพ็ญประโยชน์ เป็นต้น  ตรงข้ามกับทางโลกตะวันออก 
  • ในโลกตะวันออก บอกว่า มนุษย์นั้นเป็นสัตว์ที่เลว  ในพระไตรปิฎกบอกว่า  โลกที่ร้อน ทำให้น้ำแห้งลงเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นแผ่นดิน กลิ่นดินลอยขึ้นไปบนสรวงสวรรค์  เทวดาได้หอมกลิ่นดิน  เกิดโลภะโทสะโมหะ ลงมากินง้วนดิน  จนกลายกายเป็นหยาบกลับขึ้นไปไม่ได้  
  • เมื่อกลับไปไม่ได้ ก็ต้องใช้ชีวิตบนโลก  จากเดิมที่กินอิ่มนอนหลับวันต่อวัน แต่ด้วยความโลภมากขึ้น จึงเริ่มสะสมอาหาร  ไปหาทีหนึ่งกินได้ ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ....  ถ้าเป็นฝรั่งจะเรียกว่า "ฉลาด" แต่ในพระไตรปิฎกจะอธิบายว่าเป็นเพราะ ความโลภ   
  • อีกพวกหนึ่ง แทนที่จะไปหาอาหาร แต่ดันใช้วิธีการขโมยของคนอื่นแทน  จึงเกิดการลักขโมย และทะเลาะกัน 
  • สรุปคือ ทางตะวันออก จะมองว่า คนนั้นเลวอยู่แล้ว (ต้องพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์) จึงกำหนดบทลงโทษอย่างหนัก ประหารให้ตายตกไปตามกัน  ถ้าคนแทงเขาตายก็ต้องถูกฆ่าตายเหมือนกัน
    คนทางตะวันออก จึงไม่ได้ให้โอกาสในการกลับตัวมากนัก 






อารยธรรมโลก

  • อารยธรรมโลกแห่งแรกคือ จีน (แต่คนจีนในยุคนี้เป็นคนละคนกับคนจีนในยุคอารยธรรม) อยู่ระหว่างแม่น้ำสองสายของจีน คือ  แม่น้ำแยงซีเกียง และแม่น้ำฮวงโห 
  • ฮวง แปลว่า เหลือง โห แปลว่าน้ำ จึงเรียกว่า "แม่น้ำเหลือง"  
  • เจ้าพระยาโห ได้ไหม? ..ได้  โขงโหได้ไหม? ..ได้  ปิงโหได้ไหม?...ได้  วังโหได้ไหม?... ยกเว้น ชีโห...ไม่ได้...ฮา 
  • แหล่งอารยธรรมแหล่งที่สองคือ อารยธรรมอินเดีย ลุ่มแม่น้ำสินธุ 
  • แหล่งอารยธรรมที่สาม คือ อารยธรรมไทกริส ยูเคติส เมโสโปเตเมีย  แถมลุ่มแม่น้ำไนด์  ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของของอารยธรรมสมัยนี้ด้วย เริ่มตั้งแต่ อียิปต์ -> กรีก -> โรมัน -> ยุโรป  ต่อมาจึงเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน 
  • ขอให้นิสิตดูรายละเอียดเองนะครับ สนุกมาก....



 อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
  • อัศจรรย์มาก  เมื่อ ๔ - ๕ พันปีมาแล้วทำได้อย่างไร?  
  • ภาพทั้งหมดที่ผู้บรรยายนำมาแสดง ท่านถ่ายด้วยตนเอง


  • ภาพเหล่านี้ถ่ายที่อังกฤษ อังกฤษขนมาไว้ประเทศตนเองหมด ถ้าไปอิรัก อิหร่าน อาจจะเจอภาพร่องรอยบ้าง แต่ถ้าสวยๆ แบบนี้ ไม่มีแล้ว
  •  ดูสิ  ตึกตั้ง ๔- ๕ ชั้น สร้างได้อย่างไร ?
  • ภาพข้างบนนี้ถ่ายที่พิพิธภัณฑ์ที่อังกฤษ  
  • สิงโตของเมโสโปเตเมียมีหลายตัวมาก ตัวด้านบนนี้สวยมาก อยู่ในพิพิธภัณฑ์ชื่อ กรีเล่ (ผมอาจฟังผิด)
 อารยธรรมอียิปต์











อารยธรรมกรีซ




  •  สไลด์ด้านบนนี้ ผู้บรรยายเกี่ยวกับกีฬาวิ่งมาราธอน .....   สนุกมากครับ .... 



อารยธรรมโรมัน-อิตาลี





  •  ในสี่รูปนี้ ... ตอบได้ไหมว่า รูปไหนไม่ใช่อารยธรรมโรมัน ?  



อารยธรรมอินเดีย





อารยธรรมจีน








จบฮ้วนๆ ครับ 

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

รายวิชาศึกษาทั่วไป : เพื่อบ่มเพาะปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมนิสิต

คุณธรรมเป็นเรื่องที่ต้องบ่มเพาะ เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ ปลูกฝัง ไม่ใช่เพียงเข้าไปนั่งเรียนวิชาใดในโลกนี้แล้วจะเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรม ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนแบบบรรยายถ่ายทอดโดยถ่ายเดียว จึงไม่ใช่วิธีที่จะสร้างคุณธรรมจริยธรรมในตัวนิสิตได้   และนี่คือหน้าที่โดยตรงของสำนักศึกษาทั่วไป ที่ต้องหาวิธีการสร้างรากฐานของสังคมนี้ผ่านการจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้

ในการจัดการเรียนการสอนแบบเก่า กระบวนการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม จะทำกันแบบ "แยกส่วน"   แยกการเรียนออกจากกิจกรรม แยกกิจกรรมออกจากชีวิต แยกเป้าหมายของชีวิตออกจากแนวทางสู่ความสุขที่แท้จริง  แนวทางที่ถูกต้องควรจะมองอย่าง "องค์รวม"  คือ พัฒนาอย่างบูรณาการ ๓ หน่วยหลัก ได้แก่ ชั้นเรียน (ฝ่ายวิชาการ)  กิจกรรม (กองกิจการนิสิต) และการดำเนินชีวิต (หลักสูตรฯ ซึ่งดูแลการสร้างทักษะวิชาชีพ) ด้วยเหตุ ๒ ประการต่อไปนี้ ผมเสนอว่า สำนักศึกษาทั่วไป (GE) ควรจะมีฝ่ายพัฒนานิสิตเหมือนในคณะ-วิทยาลัย

๑) นิสิตทุกคนในมหาวิทยาลัยต้องเรียนวิชาศึกษาทั่วไปอย่างน้อยตั้ง ๓๐ หน่วยกิต โดยมีจุดมุ่งหมายในการสร้างนิสิตทุกคนในมหาวิทยาลัยให้ เป็น "มนุษย์ที่สมบูรณ์" เป็นคนดีมีคุณธรรม ซึ่งการเรียนการสอนต้องสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมและปลูกฝังผ่านกิจกรรมในชั้น เรียนและการทำงานของนิสิต

๒) ฝ่ายพัฒนานิสิตจะได้ทำงานร่วมกับกองกิจการนิสิตอย่างบูรณาการ โดยเฉพาะการบูรณาการระหว่างการเรียนการสอนกับกิจกรรมพัฒนานิสิตอย่างเป็นองค์รวมไม่แยกส่วน

สำหรับปัจจัยที่จะทำให้การปลูกฝัง บ่มเพาะ คุณธรรมจริยธรรมสำเร็จได้  ก็ต้องไม่แยกส่วนวิชาการหรือความรู้ออกจากคุณธรรม ไม่แยกการกระทำออกจากการพัฒนาการคิด  วิธีที่ดีที่สุดคือการน้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมี ๒ เงื่อนไขคือความรู้และคุณธรรมกำกับการคิดบนหลัก ๓ ห่วง ๔ มิติ ...ผมขอเสนอให้ทุกคณะ-วิทยาลัย น้อมนำมาศึกษาและส่งเสริมให้นิสิตนำไปใช้กับการตัดสินใจทุกเรื่อง ทุกอย่าง และทุกคน  ตั้งแต่การพัฒนาอาจารย์ พัฒนาการเรียนการสอน (ชั้นเรียน) และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในการเรียนรู้   ดังนี้ ดร.ปรียานุช ธรรมปิยา ไว้ในการมาบรรยายที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ไว้ดังภาพด้านล่าง  (อ่านบันทึกนั้นที่นี่)




รายวิชาศึกษาทั่วไป : ทำไมต้องเช็คชื่่อตรวจสอบการเข้าเรียน

หลังมีข่าวเรื่องการโพสท์รับจ้างเรียนแทนในสื่อสังคมออนไลน์  มีหลายคนตั้งคำถามต่อรายวิชาศึกษาทั่วไปที่ใช้ห้องเรียนรวมขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ตั้งแต่ ๑๐๐ ถึง ๓๕๐ คน ว่า  เป็นไปได้ไหมถ้าไม่ต้องเช็คการเข้าเรียน คำตอบคือ "ไม่ได้" ดังจะขออธิบาย ดังนี้ครับ

ระเบียบหรือข้องบังคับของมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่เกี่ยวข้องกับกรณีเช็คชื่อเข้าเรียน กำหนดไว้ในหมวดของการวัดผลประเมินผล บอกว่า "นิสิตต้องมีเวลเรียนในรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียน ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรียนทั้งหมดของรายวิชา จึงจะมีสิทธิ์เข้าสอบ" (จากคู่มือนิสิตระดับปริญญาตรี ปี ๕๗ ของ มมส.) และอีกข้อหนึ่งที่บอกว่า หากไม่ได้สอบปลายภาคจะมีผลการเรียนเป็น F หรือตกในรายวิชานั้นไป ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย จึงกำหนดให้อาจารย์ทุกท่านต้องตรวจสอบการเข้าเรียนของนิสิตอยู่แล้ว ไม่ด้วยวิธีใดก็วิธีหนึ่ง...

รายวิชาศึกษาทั่วไป (ตามหลักสูตปรับปรุงใหม่ พ.ศ. ๒๕๔๘) มีหลากหลายรายวิชา แต่ละวิชามีธรรมชาติของรายวิชาซึ่งหวังผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาแตกต่างกัน  บางวิชาเน้นความรอบรู้  บางวิชาเน้นทักษะการเรียนรู้  บางวิชาเน้นทักษะชีวิต และบางวิชาก็เน้นพัฒนาจิตวิญญาณในการดำรงอยู่เพื่อสังคม ดังนั้น วิธีการประเมินผลการศึกษาจึงแตกต่างหลากหลายไปตามรายวิชาในแต่ละประเภท ทำให้แนวปฎิบัติในการตรวจสอบการเข้าเรียนของอาจารย์แต่ละท่านแตกต่างกันไป

รายวิชาที่เน้นสร้างแรงบันดาลใจ ขยายความรอบรู้ รู้กว้าง รู้เท่าทันโลก  ส่วนใหญ่จะจัดในห้องเรียนขนาดใหญ่ และสอนแบบบรรยาย หรือบรรยายประกอบสื่อโสต  รายวิชาแบบนี้แม้มีการตรวจเช็คการเข้าเรียน ก็เพื่อปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมของผู้เรียนเรื่องความตรงต่อเวลาและความรับผิดชอบ วิธีการวัดผลส่วนใหญ่จะเป็นคะแนนจากการทดสอบและคะแนนงานที่อาจารย์มอบหมาย

รายวิชาที่เน้นด้านทักษะ เช่น ทักษะด้านภาษาที่เน้นให้ พูด อ่าน เขียน หรือทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมต่างๆ หรือรวมถึงทักษะด้านการสื่อสารและสารสนเทศ  ซึ่งล้วนแต่ต้องออกแบบให้นิสิตได้ฝึกคิด ฝึกทำ ฝึกนำเสนอ รายวิชาเหล่านี้ จำเป็นที่นิสิตจะต้องเข้าเรียน และการตรวจเช็คต้องเป็นไปอย่างเข้มข้น ...  ใครที่คิดจะจ้างค้นมาเรียนแทน ก็ลองดูครับ คนที่อยู่สำนักศึกษาทั่วไป ก็คงไม่ยอมให้คนเหล่านี้หลุดไปได้

ส่วนรายวิชาที่เน้นสร้างจิตวิญญาณ ปลูกฝังอุดมการณ์ให้เป็นที่พึ่งแก่สังคม ตามปรัชญาและอัตลักษณ์มหาวิทยาลัย ยิ่งต้องใช้วิธีการตรวจสอบที่หลากหลาย เพราะต้องออกแบบการเรียนการสอนให้นิสิตต้องเรียนรู้ผ่านกระบวนการทำงานเพื่อสังคมจริงๆ

จากประสบการณ์และจากการแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ผู้สอนหลายท่าน  พบแนวปฏิบัติในตรวจสอบการเข้าเรียนดังนี้

  • ตรวจสอบด้วยการทดสอบย่อย หรือ คำถามท้ายชั่วโมง หรือให้สรุปการฟังบรรยายเป็น mind map แล้วส่งทุกคาบเรียน 
  • ให้ลงลายมือชื่อเข้าเรียน แล้วนับจำนวนเปรียบเทียบป้องกันการมาเรียนแทน 
  • ให้นั่งประจำที่นั่ง ที่นั่งใดว่าง ที่นั่งนั้นขาดเรียน  และถ่ายรูปภาพรวมไว้เป็นหลักฐานในการเข้าเรียน
  • ตรวจสอบจากใบงานหรือใบกิจกรรมในชั้นเรียนประจำสัปดาห์  หากไม่มาก็ไม่มีงาน 
  • ให้เขียนสะท้อนการเรียนรู้ (Reflection) ในแบบฟอร์ม ท้ายชั่วโมงทุกครั้ง 
  • เป็นต้น 

หลักสำคัญ การจัดการเรียนการสอนของในทุกๆ รายวิชา จะต้องน้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมากำกับ  ต้องยืดหยุ่นด้วยเหตุและผล คำนึงถึงการระเบิดจากภายในตัวคนคือการพัฒนาตัวคนเป็นสำคัญ  ไม่ใช่ติดกรอบจนสุดโต่งหรือหลงไหลไปกับชื่อเสียงเกียรติยศจนละเลยคุณค่าจนไร้ปัญญาไป