ผมขออนุญาตท่านว่าจะนำสิ่งที่ท่านพูดมาเผยแพร่บอกต่อ และนำไปปฏิบัติเต็มตามกำลัง (ที่ตัวผมมี) ... ผู้ใหญ่ที่ธรรมเข้าถึงใจ ผมไม่เห็นใครจะหวงความรู้สักแม้แต่หนึ่งคนเลย .... (ศ.นพ.วิจารณ์ พาณิชน์, ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล, ดร.ปรียานุช ธรรมปิยา, และคุณครูเพื่อศิษย์ ทั้งหมด ทุกท่านล้วนยินดีให้เป็นวิทยาทานทั้งสิ้น)
จับประเด็น "แนวทางการจัดการศึกษาทั่วไปในอนาคต"
- ท่านลองตรวจสอบดูก่อนว่า อาจารย์ที่มาร่วมฟังบรรยาย เลือกหมายเลขใด เกี่ยวกับสภาพของการศึกษาทั่วไป
- ท่านถามว่า ใครบ้างที่เลือกหมายเลข ๑ หมายถึง เห็นความสำคัญมากแต่ความจริงนั้นยังห่างไกล
- ใครบ้างที่เลือกหมายเลข ๙ ที่ ทำกันไปได้ดี แต่ไม่มีความสำคัญใด ๆ
- คนจำนวนหนึ่งเลือกหมายเลข ๕ ... ท่านแปลว่า เป็นกลุ่มที่ไม่รับผิดชอบ ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ ...
- พื้นฐานการศึกษาของประเทศไทย มาจากประเทศใด
- มาจากฝรั่งเศส ไหม ที่เน้นไปทางการสร้าง "นัก" ต่าง ๆ สอนให้เป็นนักวิชาชีพ
- มาจากอังกฤษไหม ที่เน้นสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
- มาจากเยอรมันไหม ที่เน้นกระบวนการวิจัย
- หรือมาจากสหรัฐอเมริกา ที่เน้นเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชน
- การศึกษาทั่วไป สำคัญแค่ไหน
- เป็น "ติ่ง" เล็ก ๆ ต่ออยู่กับระบบใหญ่ใช่ไหม ... เป็นลูกเมียน้อยใช่ไหม
- สำคัญหรือไม่ หรือไม่สำคัญ
- ท่านถามว่า ในอีก ๑๐ ข้างหน้า การศึกษาจะเปลี่ยนไปเพียงใด ให้เลือกระหว่าง ๑ ถึง ๑๐ ... ท่านเฉลยว่า น่าจะสัก ๒๐ ...
- ความรู้มีมาก มีอยู่แล้ว และเพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล เป็นการระเบิดของความรู้
- นอกจาเพิ่มขึ้นแล้ว ลักษณะการเกิดขึ้นของความรู้นั้น ไม่ได้ต่อเติมหรืองอกใหม่ แต่เหมือนความรู้มีชีวิต มีเกิดขึ้น ตังอยู่ และดับไป
- ท่านพูดเกี่ยวกับลักษณะขององค์ความรู้ในศตวรรษที่ ๒๑
- เนื้อหาสาระ ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญ มี ๓ ประการ ได้แก่
- คุณธรรม จริยธรรม
- สมรรถนะจำเป็น
- ความเชี่ยวชาญตามความถนัดของตนเอง
- นี่คือเป้าหมายของประเทศ
- คนไทยฉลาดรู้
- คนไทยอยู่ดีมีสุข
- คนไทยสามารถสูง
- พลเมืองไทย ใส่ใจสังคม
- ทีมคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการศึกษา สรุปว่า สมรรถนะ ๑๐ ประการที่ต้องมีในศตวรรษที่ ๒๑
- ปริญญาวิชาชีพ ไม่จบอยู่แค่ได้ปริญญาเหมือนเดิมแล้ว แต่เป็นการสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- มหาวิทยาลัยต้องรับผิดชอบให้เขามีงานทำ สามารถทำงานได้ สามารถสร้างงานได้ ไม่ใช่การสอนให้เขาจบปริญญาเท่านั้น
- ไม่ใช่ให้ปริญญาเขา ๓๒,๐๐๐ คนไป ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า มีตำแหน่งงานอยู่เพียง ๒๔,๐๐๐ คนเท่านั้น .... อีก ๗,๐๐๐ คนจะต้องงานแน่นอน
- การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น สิ่งหลักสำคัญที่สุดแน่นอนว่า คือการสร้างวิชาชีพ (Professionalism) จึงมีคำว่า "นัก" เกิดขึ้น
- แต่ต้องมีส่วนอื่นประกอบ คือ ทักษะและสมรรถนะอื่นด้วย เช่น ทักษะชีวิต สมรรถนะด้านการใช้ความรู้ต่าง ๆ อื่น ๆ ด้วย เช่น ความรู้เรื่องสุขภาพ สังคม ฯลฯ
- การจัดการศึกษาที่ผ่านมา มุ่งเฉพาะด้านวิชาชีพ และพยายามผลักส่วนที่เหลือไปไว้ในการศึกษาทั่วไป .... ซึ่งไม่ใช่ ....
- ที่ถูกต้องนั้น การสอนวิชาชีพนั้น จะต้องสอนจิตวิญญาณของวิชาชีพนั้น ๆ ด้วย ครูอาจารย์นั้นคือ "บุพการี" ครูอาจารย์ไม่ใช่ผู้รับจ้างสอน (เหมือนปัจจุบัน) ครูอาจารย์เป็นบุพการี คือเป็นผู้ให้ ให้ความรักความเมตตา ให้การอุปการะโดยไม่หวังผลตอบแทน
- คำว่า "บุพการี" เป็นคำไทย ที่ไม่ในภาษาอื่น
- ครูเป็นผู้ให้ ให้การดูแล และศิษย์ผู้ได้รับการดูแล ก็จะดูแลคนอื่นต่อ ๆ ไป
- การศึกษาทั่วไป ควรจะเป็น "การศึกษาเพื่อสร้างสมรรถนะพื้นฐาน" (Enabling Competence) คือสิ่งจำเป็นที่จะช่วยสร้างให้เกิดสิ่งอื่น ๆ เป็นฐานของการอุดมศึกษา
- โลกเปลี่ยน คนเปลี่ยนไป ...บางทีไวกว่า ๒๐ ปี
- คนโบราณ (T)
- คนเบบี้บูม (Baby Boom)
- คนเจนเนอเรชั่น X ... หลายคน ตอนนี้เป็นผู้บริหาร
- คนเจนเนอเรชั่น Y เริ่มเมื่อมีคอมพิวเตอร์ ... ตอนนี้เป็นคนทำงานส่วนใหญ่
- คนเจนเนอเรชั่น Z เริ่มเมื่อมีอินเตอร์เน็ต ... ตอนนี้เป็นนิสิต นักศึกษา นักเรียน
- เมื่อเปรียบเทียบกับการระเบิดของความรู้ (Knowledge Explosion) จะเห็นว่า แต่ละรอยต่อของยุค จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
- Technolgical Transformation จาก BB เป็น X
- Social Transformation จาก X เป็น Y
- Digital Transformation จาก Y เป็น Z
- การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เป็นการเปลี่ยนรูปไป จากยุคแรกที่ Informative -> Formative -> Transformation
- ดังนั้น เด็กสมัยนี้แตกต่างจากครูอาจารย์ที่สอนอยู่ เด็กเป็น Digital Native ส่วนครูอาจารย์เป็น Digital Immigrant
- บทบาทของมหาวิทยาลัยจึงเปลี่ยนไป ไม่ใช่การรับนักเรียนมาสร้างนักวิชาชีพแบบมอบใบปริญญา แต่นักศึกษาจะไม่ใช่เพียงนักเรียน เป็นคนทุกช่วงวัย โดยบทบาทใหม่ของมหาวิทยาลัยคือ
- Workforce
- Upskill
- Traning และ
- Re-Education
- สิ่งที่มหาวิทยาลัยจะต้องพิจาณาให้ดีคือ "ผู้บิหาร" ซึ่งมักเป็นคนมาจากยุค Gen X ถ้าเป็นผู้บริหารที่เป็น X แล้วไม่เข้าใจ Z มองไม่เห็น จึงพยายามบีบ Z ให้เป็นแบบเดิมที่ตนเข้าใจ จะทำให้เกิดปัญหา ... ปัญหาช่องว่างระหว่างวัย
- ต้องเปิดประตูมหาวิทยาลัยให้กว้าง ให้ได้มีส่วนร่วมและโอกาสในการบริหาร
- New Leader
- Modern management
- ฯลฯ
- ทำให้หลายสิ่งต้องเปลี่ยนไป
- การเรียนการสอนเปลี่ยน
- Self-access ot knowledge
- Active Learning
- Project-based, Problem-based
- Research-based
- Experiential Learning in workplace
- ฯลฯ
- งานหรืออาชีพก็เปลี่ยน หลายอาชีพหายไป เช่น พนักงานธนาคาร ฯลฯ
- มหาวิทยาลัยต้องมองกลุ่มเป้าหมายใหม่
- โอกาสใหม่ และการสร้างความสามารถในการแข่งขัน เช่น โชห่วยที่ต้องเจ๊งไปเมื่อห้างใหญ่เข้ามา
- ต้องสร้างคนที่เป็น "นัก" ในอนาคตเองได้ จะรอดได้
- สมัยก่อนเด็กหน้าห้องเก่งกว่าเด็กหลังห้อง แต่สมัยนี้ เด็กหลังห้องที่เรียนรู้ด้วยตนเองผ่านมือถือ เก่งกว่าครูอีก ....
- ทุกวันนี้ Digital Literacy เป็นเรื่องจำเป็น
- on air คือ องค์ความรู้จำนวนมากกลายมาเผยแพร่ทั้งภาพแสงเสียง ออกอากาศไปทั่ว
- online คือ ความรู้ต่าง ๆ ออนไลน์ สืบค้นได้จากทุกที่ทุกเวลา
- on ground คือ
- คนต้องสามารถเข้าใจ เข้าถึง ประทับใจ คัดเลือกเป็น เกิดแรงบันดาลใจ (Inspiration) สร้างความเข้าใจของตนเองได้ และปรับใช้ได้
- การศึกษาทั่วไป จะต้องเข้าสู่ยุค Digital Educaiton Transformation
- ผู้เรียนขณะนี้ในระดับมหาวิทยาลัยลงไป พวกเขาเหมือนเป็นคนสัญชาติดิจิตอล (digital native) การศึกษาจึงไม่เหมือนกับคนยุคก่อนนั้นที่เป็น (digital immigrant)
- ลักษณะสำคัญ ที่เป็นของการศึกษาสำหรับคนยุค digital native เช่น
- การสื่อสารแบบใหม่
- การเรียนรู้สมัยใหม่ จะต้องมีลักษณะ
- Multidisciplinary คือ บูรณาการหลาย ๆ ศาสตร์
- Muti-sectoral คือ ไม่จำเป็นต้องเป็นคณะหรือหลักสูตร แต่ร่วมมือกันหลายหลักสูตร
- Multicultural คือ พหุวัฒนธรรม ผู้เรียนรับรู้และได้สัมผัสข้ามวัฒนธรรม
- Work-in-team คือ การทำงานเป็นทีม
- รูปแบบการเรียนสมัยใหม่ จะต้อง
- Social Media Learning เรียนรู้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์
- Learning Community สร้างชุมชนการเรียนรู้ด้วยตนเอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้สนใจและนักปฏิบัติร่วมกัน
- Communication Plaform การเรียนแบบส่งผ่านความรู้ หรือถ่ายทอดเก่าไปแล้ว ไม่ใช่สื่อสารทางเดียวแล้ว
- Learning Platform เปลี่ยนไป
- สื่อแบบใหม่ ไม่ใช่เพียงอ่านหรือดูให้รู้ตาม แต่เป็นสื่อสะท้อนความคิด ความอ่านของผู้สร้าง และสามารถกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้ชมได้ด้วย เช่น
- Augmented reality
- Multimedia
- MEME
- ฯลฯ
- เด็กสมัยใหม่ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว พวกเขา คิดเป็นระบบ คิดข้ามขั้น คิดนอกกรอบ คิดเร็ว ลดคำ สิ่งที่เขาต้องการ คือ
- Multitasking ทำงานหลายอย่างพร้อม ๆ กัน
- Abstraction จับประเด็น อ่านจับใจความ
- Creativity สร้างสรรค์
- Entrepreneurship เป็นผู้ประกอบการ
- สิ่งที่ต้องเน้นเป็นปลายทาง คือ จะต้องสามารถ
- มีส่วนร่วมหรือสร้างนวัตกรรม โดยเฉพาะนวัตกรรมด้านกระบวนการ ทำการศึกษาทั่วไปใหม่ เช่น
- จุฬาฯ ตั้งเป้าว่า นิสิตต้องได้ภาษาอังกฤษ
- จึงกำหนดเป็นมาตรฐานขึ้น ว่า นิสิตต้องผ่านการฝึกฝนด้านภาษาอังกฤษ แสดงไว้ในใบประกาศ
- จึงเกิดการสร้างศูนย์การเรียนรู้ด้วยตนเอง
- เกิดระบบ CU-Test การทดสอบที่มีมาตรฐานของจุฬาฯ ขึ้น
- ฯลฯ
- ไม่ใช่เพียงสร้างนวัตกรรมแต่ต้องไปให้ถึงการนำไปใช้ประโยชน์ได้
- ต้องไม่ดูถูกเด็ก ต้องมองใหม่ เขาทำได้ ไม่ใช่
- เด็กอนุบาล ต้องเขียนหนังสือ ต้องอ่านหนังสือ ต้องติวหนังสือ .... ทำให้ความสามารถอย่างอื่นหายไปหมด
- อาจแบ่งยุคของการศึกษาได้ ๓ ยุค ได้แก่
- Informative Learing การเรียนรู้ข้อมูลสารสนเทศที่มีอยู่แล้ว นำไปสู่ Information competence คือ สมรรถนะในการใช้สารสนเทศ
- Formative Learning การศึกษาเพื่อสร้างอาชีพ สร้าง "นัก" ในสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญในอาชีพ
- Transformative Learning การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงจากภายใน ทั้งที่ใช้งานทันที และเจริญได้เองในอนาคต
- ทักษะที่ควรเน้นในการศึกษายุคนี้ที่สุด
- การค้นหาความรู้ (Access)
- การใช้ความรู้อย่างถูกต้อง (Applications)
- การสร้างความรู้ (New knowledge)
- การศึกษาทั่วไปจะเป็นฐานด้านกระบวนการเรียนรู้ไปสู่ Entrusted Professinal Activities คือ คุณลักษณะเฉพาะของแต่ละอาชีพสาขา จะเป็นหมอต้องมีคุณลักษณะอย่างไร ฯลฯ
- ต้องสร้าง "ชานบันได" ไว้ เป็น เป้าหมายรายทางย่อย หรือ Milestones ก่อนจะไปถึง EPA
- ต้องมี "บันได" คือที่ชัดเจนจากการฝึกฝนแบบต่าง ๆ Observation Simulation Experience Hand-on Supervision
- ต่อไป รูปแบบการเรียนรู้จะไปสู่ Digital Learning Platform
- Google จะกลายเป็นมหาวิทยาลัย เป็น Virtual programs
- มีหลักสูตรที่หลักหลาย ออนไลน์ให้เรียนได้จากทุกที่ทุกเวลา
สรุปแนวทางที่ท่านแนะนำ มมส.
- การศึกษาทั่วไป คือ การศึกษาที่จะสร้างทักษะและสมรรถนะในการสร้างทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ (Enabling Competenc) มุ่งสร้างนวัตกรรมด้านกระบวนการเรียนรู้เพื่อนำองค์ความรู้ไปใช้ทั้งแบบใช้ทันที และเจริญขึ้นได้เองอีกในอนาคต
- ปล่อยให้อาจารย์สอนในสิ่งที่อาจารย์อยากสอน
- เน้นให้ผู้เรียนเป็น Creator ลดการเป็น Consumer
- มุ่งสู่ Digital Learning Platform
- สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต